บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 293

บทที่ 293 พายุกำลังก่อตัว

บทที่ 293 พายุกำลังก่อตัว

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ร่างสองร่างกระโจนออกมาจากกำแพงเมืองและพุ่งเข้าใส่พายุฝนที่โหมกระหน่ำก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

หลังจากบินเป็นระยะทางสองร้อยห้าสิบลี้ เฉินซีกับมู่ขุยก็มาถึงเทือกเขาที่กว้างใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็ค้นหาถ้ำธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ภายในช่องเขาก่อนที่จะหยุดพัก

เทือกเขาที่กว้างใหญ่นี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบสองร้อยห้าสิบลี้ อีกทั้งยังถูกปกคลุมด้วยช่องเขาและต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่าน ด้วยเหตุนี้ หากมีใครซ่อนตัวอยู่ภายในนั้น ก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะค้นพบร่องรอยของคนผู้นั้น

“สถานที่นี้อยู่ห่างจากเมืองเฟิงเย่เพียงสองร้อยห้าสิบลี้ ทำให้เราสามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อย่างอิสระ ดังนั้นเรามาพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด” เฉินซีสั่ง

“นายท่าน ข้าจะไปดูว่ามีอันตรายอยู่ในบริเวณโดยรอบหรือไม่” มู่ขุยพยักหน้า ในขณะที่เขากล่าว ร่างนั้นก็หายตัวไปที่ทางเข้าถ้ำและพุ่งเข้าไปในม่านฝน

เฉินซีจ้องอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากถ้ำและเริ่มตรวจสอบบริเวณรอบตัวเขา

ช่องเขานี้ค่อนข้างซ่อนเร้น มีภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง ในภูเขามีน้ำตกมากมายที่เหมือนกับมังกรขาวไหลลงมา ในขณะที่น้ำพุธรรมชาติไหลออกมาจากรอยแยกระหว่างโขดหินในช่องเขานี้ ซึ่งบางแห่งก็บุ๋มลงไปจนกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมาก ที่เบื้องหน้าช่องเขา ทะเลสาบใสกระจ่างเป็นอย่างมาก และเมื่อพายุฝนพัดกระหน่ำ ปลาหลากหลายชนิดจะกระโดดออกมาจากทะเลสาบอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มันเต็มไปด้วยความชีวิตชีวา

‘แม้ว่าทิวทัศน์แถวนี้จะงดงามและร่มเย็น แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ข้าจะอยู่ตลอดไป’ เฉินซีส่ายศีรษะ วันเวลาที่สวยงามมักจะหายไปในวันหนึ่ง และความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นที่จะอยู่ติดตัวตลอดไป

หลังจากที่เขากลับมาที่ถ้ำ เฉินซีก็นั่งไขว่ห้างบนพื้นและเริ่มตรวจสอบสิ่งของที่ริบมาจากการต่อสู้ในครั้งนี้ “สมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดสองชิ้น ซึ่งได้แก่ดาบพิภพมารและพัดขนนกโลหิตคราม โอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเม็ดและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอีกสองวิชา ซึ่งหนึ่งในเคล็ดวิชานั้นคือพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ร่างแปลงสวรรค์’ และอีกเคล็ดวิชาคือทักษะการใช้จิตสัมผัสเทพที่ถูกเรียกว่า ‘วิชาคลื่นจิตสะท้อน’ นอกจากนี้ ในของที่ริบมายังมีสิ่งของอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่พวกมันกลับไม่มีค่าสักเท่าไรนัก

สิ่งเหล่านี้คือของที่ริบมาจากหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียง แต่ความสนใจของเฉินซีกลับถูกกระตุ้นโดยเคล็ดวิชาการบ่มเพาะทั้งสอง

พลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่าร่างแปลงสวรรค์ สามารถทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นขนาดมหึมาที่มีขีดจำกัดอยู่ที่เก้าพันจั้ง ในเวลานั้น พละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวก็มีพลังที่สามารถถล่มเทือกเขา ระเบิดหินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ หรือผ่าแยกทั้งภูเขาและแม่น้ำให้ออกจากกัน นี่เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่พบได้ทั่วไปในโลกแห่งการบ่มเพาะ และผู้บ่มเพาะทุกคนที่มีการบ่มเพาะการแปรสภาพกายาในขอบเขตตำหนักอินทนิลก็สามารถฝึกฝนมันได้

แต่สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของเฉินซีคือ ภายใต้สภาวะร่างแปลงสวรรค์ เขายังคงสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน และนี่เป็นสิ่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เขาจินตนาการว่าถ้าเขาแปลงร่างจนสูงถึงเก้าพันจั้ง และใช้ฝ่ามือมหาดาราออกไป พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากมันจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงไหน?

แต่น่าเสียดาย จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดในโลกแห่งการบ่มเพาะที่สามารถบ่มเพาะร่างแปลงสวรรค์จนมีร่างกายสูงถึงเก้าพันจั้งได้ และตามตำนานที่เล่าขาน มีเพียงเทพอสูรโบราณเท่านั้นที่สามารถทำได้

ซึ่งอันที่จริง การบ่มเพาะร่างกายจนสามารถแปลงร่างให้สูงถึงเก้าสิบเก้าจั้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่สามารถหยุดเฉินซีที่จะบ่มเพาะมันได้ เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคต เขาจะใช้ร่างแปลงสวรรค์เป็นความสามารถที่สำคัญในการต่อสู้

นอกจากนั้น เคล็ดวิชาการใช้จิตสัมผัสเทพที่เรียกว่าวิชาคลื่นจิตสะท้อน ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาเพิ่งรู้ว่าจิตวิญญาณสามารถถูกควบคุมอารมณ์และใช้ประโยชน์ได้เช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เขาได้รู้แจ้งและต้องสรรเสริญอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในทันใด

ตามที่เขาคาดการณ์ ถ้าเขาบ่มเพาะวิชาคลื่นจิตสะท้อน อย่างน้อยเขาก็จะสามารถสังเกตเห็นอันตรายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อเขาพบกับมันในอนาคต และเขาจะไม่นิ่งเฉยเหมือนในอดีตอีกต่อไป

“นายท่าน มีเพียงสัตว์อสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลบางตัวเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียง และไม่มีอันตรายร้ายแรงอื่นขอรับ” ในขณะเดียวกัน มู่ขุยได้เดินเข้าไปในถ้ำและกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ

เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ทำใจให้สบายและบ่มเพาะเถอะ ถ้าข้าจำไม่ผิด กองกำลังของตระกูลซือคงจะรีบมาหาเรา เมื่อถึงเวลานั้น การต่อสู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น และเราจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อก่อน”

“โชคดีหรือ?” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาและหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เหตุใดข้าถึงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของนายท่านมาตลอด”

“นั่นเป็นเพราะยันต์เลิศล้ำจากถุงเมล็ดห้าธาตุ แต่ถ้าไม่มี หินผลึกมิติข้าก็ไม่สามารถสร้างมันได้อีก” เฉินซีส่ายศีรษะขณะที่เขากล่าว

อันที่จริง เขาเองก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากเช่นกัน ถ้าเขามีหินผลึกมิติเพียงพอ เขาก็สามารถอยู่ในโรงเตี๊ยมได้ เว้นเสียแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีที่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งมิติจะมาเอง มิฉะนั้น ไม่ว่าตระกูลซือคงจะส่งคนออกไปเท่าไร พวกมันก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้

แน่นอนว่าพวกมันไม่สามารถคุกคามเขาได้

ท้ายที่สุดแล้ว ฐานการบ่มเพาะของหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงก็อยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เมื่ออาศัยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเฉินซีและเปิดฉากด้วยการลอบโจมตี เขาก็ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ แต่ถ้าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติหรือสูงกว่านั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เช่นกัน

เมืองเฟิงเย่ ณ จวนตระกูลซือคง

ซือคงเหินวางงูตัวเล็กที่มีสีดำสนิทเหมือนนิล หนาเหมือนนิ้วหัวแม่มือ และปกคลุมด้วยชั้นเกล็ดน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกลงในตราผนึกสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง

งูตัวเล็กนี้เป็นสัตว์มีพิษเพียงชนิดเดียวที่รอดชีวิตจากในกรุที่มีสัตว์พิษมากกว่าหนึ่งพันตัวต่อสู้กัน และด้วยการบ่มเพาะเพียงเล็กน้อย การจะทำให้มันกลายเป็นสัตว์พิษที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“เขี้ยวมรกต เมื่อศพของเจ้าเด็กนั่นกลับมา ข้าจะให้เจ้าเติมแก่นโลหิตและเนื้อของมัน ตกลงไหม” ซือคงเหินลูบตราผนึกสัตว์อสูรอย่างอ่อนโยน ในขณะที่ใบหน้าขาวราวกับหิมะของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความอบอุ่นที่หาได้ยาก

ปัง!

ในขณะนี้ ประตูห้องถูกผลักเปิดออก และซือคงฮวาก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะร้องเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก “ท่านพี่ สถานการณ์ไม่ดีแล้ว การลอบสังหารของหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงต่างก็ล้มเหลว และพวกเขาถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม”

“อะไรนะ? เจ้ากล่าวอีกครั้งสิ!” หัวใจของซือคงเหินสั่นสะท้าน ในขณะที่เขาตะโกนออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าของเขาก็ดูมืดมนในทันที และเส้นประสาทในมือขวาที่ถือเหรียญ ตราผนึกสัตว์อสูรอยู่ก็ปูดบวมขึ้นมาอย่างสยดสยอง

“พวกเขาตายแล้ว พวกเขาทั้งหมดตายแล้ว” ซือคงฮวากล่าวด้วยเสียงแหบแห้งและใบหน้าที่โศกเศร้า

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทั้งสามคนนี้เป็นมือสังหารที่ได้รับการเลี้ยงดูจากท่านพ่อเป็นการส่วนตัว และพวกเขาไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติภารกิจมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติขั้นต้นได้ด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะตายได้อย่างไร” ซือคงเหินยังคงไม่กล้าเชื่อ เขากัดฟันและกล่าวว่า “เป้าหมายในครั้งนี้เป็นเพียงมดปลวกขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น แล้วพวกเขาจะล้มเหลวได้อย่างไรกัน?”

“แต่นี่…นี่คือความจริง!” ซือคงฮวากล่าวด้วยความตื่นตระหนก เขาเองก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อได้ยินข่าวนี้ก่อนหน้านี้เช่นกัน จากนั้นเขาก็รีบไปแจ้งให้ท่านพี่ของเขาทราบ

ซือคงเหินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และยับยั้งเปลวไฟแห่งความโกรธในใจของเขาอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถสูญเสียความมีเหตุผลของเขาได้ มิฉะนั้น คงกอบกู้สถานการณ์ไม่ได้แน่

“ถ่ายทอดคำสั่ง จงสั่งองครักษ์เงาทั้งหมดในตระกูลเพื่อค้นหาทั้งเมืองและจับเจ้าเด็กคนนั้น นอกจากนั้น จงรวบรวมเหล่าศิษย์ที่บรรลุ​ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว และนำพวกเขามาที่นี่เพื่อรอคำสั่งของข้า!” ซือคงเหินกล่าวอย่างรวดเร็วและสงบนิ่งในขณะที่เขาสั่ง “จำไว้ ท่านพ่อและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต้องไม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด มิฉะนั้น สถานะของเราทั้งสองคนในตระกูลอาจจะสั่นคลอน”

ซือคงฮวาพยักหน้าอย่างรุนแรงและกัดฟันในขณะที่เขากล่าวว่า “ท่านพี่ ในเมื่อท่านกำลังเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ท่านจะต้องฆ่าเด็กคนนี้ให้ได้ อย่าให้มันหนีไปได้อีก”

“เจ้าสงสัยในความสามารถของข้าหรือ?” ซือคงเหินคำรามอย่างเย็นชา

ซือคงฮวาตัวสั่นเทาและกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ท่านพี่ ข้ามั่นใจในฝีมือของท่านอย่างสุดหัวใจ ข้าจะไปจัดการเพื่อส่งกองกำลังของเรา”

ซือคงเหินโบกมือและไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป เพราะเขาเกือบจะไม่สามารถยับยั้งเจตนาฆ่าของเขาได้

ในเวลาไม่นาน องค์รักษ์เงาของตระกูลซือคงก็พร้อมที่จะออกปฏิบัติการอย่างเต็มที่ และพวกเขาได้ค้นหาร่องรอยของเฉินซีในเมืองเฟิงเย่ทั้งหมด องค์รักษ์เงาเหล่านี้มีหน้าที่ในการลอบสังหารและสอดแนม ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะด้อยกว่ากลุ่มของหนิงอี้ แต่พวกเขาก็บ่มเพาะวิชาตามรอยเป็นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข้อมูลจำนวนมากจะถูกส่งกลับไปยังตระกูลซือคง

ในเวลาเดียวกัน กลุ่มที่ก่อตั้งโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสิบแปดคนก็ได้ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าซือคงเหิน คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดจากศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซือคง ซึ่งมีความกล้าหาญและกลิ่นอายที่ทรงพลัง

“มันได้หนีออกจากเมืองจริงหรือ? ฮึ่ม! ค้นหาต่อไป พวกเจ้าต้องหาเป้าหมายให้เจอ!” ซือคงเหินสั่งอย่างเย็นชา

“รับทราบ นายน้อยใหญ่” สมาชิกขององค์รักษ์เงาพยักหน้า ด้วยการพลิกฝ่ามือของเขา อินทรีสายฟ้าครามที่ใช้สำหรับการส่งข้อมูลโดยเฉพาะก็ปรากฏขึ้นบนนั้น จากนั้นเขาก็ปล่อยมันขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน

“ทุกคน เป้าหมายในการไล่ล่าของเราในครั้งนี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ จงได้อย่าประมาทมัน เจ้าเด็กคนนี้สามารถรอดจากเงื้อมมือของหนิงอี้ หลัวกุ้ย และซิวซานเหนียงได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คนที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะเปรียบเทียบได้” ซือคงเหินกวาดสายตาไปที่ศิษย์ทั้งสิบแปดคนของตระกูล ซึ่งมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “แต่พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องระแวดระวังมากเกินไป ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนลงมือเอง และเหตุผลที่ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย ก็เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“รับทราบ!” ทุกคนกล่าวรับอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นถูกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างกระตือรือร้นและปล่อยจิตสังหารออกมา

“ดีมาก! หากภารกิจครั้งนี้สำเร็จ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน เอาล่ะ ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!” หลังจากที่ซือคงเหินบรรยายสรุปให้พวกเขาฟังเสร็จแล้ว ร่างของเขาก็สว่างวาบขึ้นเพื่อทะยานออกจากเมือง

ศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสิบแปดคนไม่กล้าชักช้าและพวกเขาก็ทะยานกลายเป็นริ้วแสงที่ติดตามข้างหลังเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อทุกคนจากไปแล้ว ร่างสูงใหญ่ที่ดูน่าประทับใจก็เดินออกมาจากเงามืด ดวงตาของคนผู้นี้เหมือนสายฟ้าแลบและดุร้ายเหมือนดวงตาของพยัคฆ์ ซึ่งเขาได้แสดงท่าทางที่องอาจขณะที่กลิ่นอายที่ครอบงำและชั่วร้ายหลั่งไหลอยู่บนร่างกายของเขา น่าตกใจที่เขาคือผู้นำตระกูลซือคง ซือคงเสี่ยวอวิ๋น

“ท่านผู้นำ ข้าขอติดตามนายน้อยใหญ่เพื่อปกป้องเขาจากเหตุร้าย ได้หรือไม่” ชายชราที่มีผมหงอกปรากฏตัวขึ้นหลังจากซือคงเสี่ยวอวิ๋น ผิวของเขาเรียบเนียนเหมือนทารก และทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็แฝงไปด้วยปราณที่ร้ายกาจและแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ

“ไม่จำเป็น หยกที่ยังไม่ได้เจียระไนและไม่ได้ขัดเงา ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เหินเอ๋อร์เป็นคนหยิ่งยโสและจองหอง ดังนั้นการทนทุกข์กับความล้มเหลวบางอย่างจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเขา” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะ

“ท่านผู้นำตระกูล ให้ข้าตามเขาไปเถิดขอรับ ข้าเฝ้าดูนายน้อยใหญ่เติบโตมาตลอด ดังนั้นหากข้าไม่ได้ดูแลเขา ข้าก็รู้สึกกังวลอยู่ในใจ ท่านผู้นำตระกูลไม่ต้องกังวล เว้นแต่จะเป็นตกอยู่ในอันตราย ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปเด็ดขาด” ชายชราผมหงอกร้องขออีกครั้ง

“หย่งหลินเอ๋ยหย่งหลิน ข้าควรจะกล่าวกับเจ้าอย่างไรดี? ในเมื่อเจ้าต้องการปกป้องเด็กคนนั้นถึงขนาดนี้ ถ้าข้ายังไม่อนุญาต ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องโกรธข้าอย่างแน่นอน” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ชายชราผมหงอกหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านรู้จักข้าดีที่สุด”

“ไปเถอะ แต่หย่งหลิน จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ เนื่องจากเจ้าฆ่าศิษย์ของนิกายสวรรค์ปฐพีอย่างไร้ความปรานีไปเมื่อหลายปีก่อน และเจ้าตกเป็นเป้าหมายของพวกเฒ่าประหลาดของนิกายสวรรค์ปฐพีอยู่ เมื่อเจ้าเปิดเผยร่องรอยออกมา ข้าเกรงว่าแม้แต่ตัวข้าเองก็จะปกป้องเจ้าไม่ได้” ซือคงเสี่ยวอวิ๋นกล่าว

ดวงตาของชายชราผมหงอกทอประกายเย็นยะเยือก เมื่อเขาได้ยินคำว่านิกายสวรรค์ปฐพี จากนั้นพวกมันก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติและเขากล่าวในขณะที่พยักหน้าว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” ทันทีที่เขากล่าวจบ ร่างของเขาก็สั่นสะเทือนและเปลี่ยนเป็นแสงสีดำสนิทที่หายไปอย่างรวดเร็วจนไร้ร่องรอย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]