บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 304

บทที่ 304 ภัตตาคารบุปผามุก

บทที่ 304 ภัตตาคารบุปผามุก

ภัตตาคารบุปผามุกเป็นร้านอาหารอันดับต้น ๆ ในเมืองนภาคราม ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ตัวอาคารสูงเก้าชั้น ตกแต่งอย่างประณีตและสวยงาม ราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ด้านในมีพ่อครัววิญญาณระดับหกใบไม้สามคนปรุงอาหารอยู่ ทั้งสี กลิ่นและรสชาติของอาหารนั้นดูสมบูรณ์แบบมาก มันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่มากเพียงพอที่จะจัดให้อยู่ในอันดับแรกของเมือง

ช่วงที่การประชุมการชุมนุมธารทองใกล้จะเริ่มต้นขึ้นเช่นนี้ ธุรกิจของภัตตาคารบุปผามุกจึงคึกคักมากขึ้นเป็นพิเศษ ในยามนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่เก้าชั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์จากดินแดนต่าง ๆ และแผ่นดินซ่ง

“ศิษย์พี่เว่ยเฟิง ข้าได้ยินมาว่าคู่ต่อสู้ของท่านคือผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลาง? ท่านช่างดวงดียิ่งนัก ที่ไม่ต้องเป็นกังวลกับการแข่งขันแบบตัวต่อตัวในรอบแรก” คนข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น

เว่ยเฟิงส่ายหัวและพูดว่า “ระดับการบ่มเพาะบางคราก็ไม่อาจใช้เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้ ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีท่าไม้ตายที่ทรงพลังซ่อนไว้หรือไม่? ใช่หรือไม่ จงเหลียว?”

จงเหลียวกำลังยุ่งอยู่กับการกิน แต่เขาก็ยังรีบพยักหน้าตอบเมื่อเขาได้ยินเสียงเรียก

พวกเขาสองคนเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งจะได้พบกับสหายผู้มีพลังประหลาดมาหมาด ๆ อีกฝ่ายอยู่เพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น แต่พวกเขาทั้งคู่กลับไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว

“แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่โชคดีที่สุดแล้ว ย่อมต้องกล่าวถึงศิษย์พี่ชิวเยี่ยน คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงชายหนุ่มขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ” ดวงตาของผู้พูดหันกลับมามองไปทางอีกคน

ทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น แต่ชิวเยี่ยนกลับได้พบหนึ่งในนั้น ตั้งแต่การต่อสู้ตัวต่อตัวในรอบแรก เขาย่อมสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายเป็นนอน

ร่องรอยความพึงพอใจฉายผ่านดวงตาของชิวเยี่ยน แต่เขากลับถอนหายใจ “ในเมื่อคู่ต่อสู้ของข้าด้อยกว่าเกินไป ชัยชนะของข้าก็ไม่นับว่ายิ่งใหญ่อะไร!” เพราะตัวเขาเองเป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้หยาบคายเลย

“พวกเราทุกคนต่างก็อิจฉาท่านมากที่โชคดีได้คู่ต่อสู้เช่นนี้ แต่สหายผู้นี้กลับบ่นว่าคู่ต่อสู้ของตนอ่อนแอเกินไป หลังจากที่ได้เปรียบผู้อื่นเช่นนี้ยังคุยโว้ได้ดีจริง ๆ” ใครบางคนกล่าวกลั้วหัวเราะ “จริงสิ ศิษย์พี่ชิวเยี่ยน ใครคือคู่ต่อสู้ของท่านหรือ? เป็นศิษย์จากที่แห่งใด? หากบังเอิญเขามาจากนิกายที่มีชื่อเสียง เช่นนั้นท่านต้องระวังอย่าทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างอนาถเกินไปเล่า ไม่อย่างนั้นมันจะดูไม่ดีเอานะ”

ชิวเยี่ยนถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “ถ้าหาก เขามาจากนิกายที่มีชื่อเสียงละก็นะ น่าเสียดาย สหายผู้นี้มาจากเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ และข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย ถึงข้าจะชนะเขาได้ มันก็ไม่สมศักดิ์ศรีอะไรเลย”

ทุกคนรู้สึกอิจฉาอีกครั้ง ใครบ้างจะไม่ต้องการคู่ต่อสู้ที่ไร้ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกทั้งยังอ่อนแอกว่าเช่นนี้?

“แล้วคนผู้นั้นคือ?” ในที่สุดใครบางคนก็ถามออกไปจนได้

“โอ้ ชายคนนั้น… ดูเหมือนว่าเขาจะมีนามว่าเฉินซี ข้าแทบจะจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ…” ในขณะที่เขาพูด ชิวเยี่ยนก็หยิบแผ่นหยกเงาออกมาและวางท่าทีดุจชนชั้นสูง

เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยและแปลกหู พวกเขาจึงหมดความสนใจทันทีและเริ่มดื่มอวยพรให้ชิวเยี่ยนเสียงดัง

มีเพียงเว่ยเฟิงและจงเหลียวเท่านั้นที่ชะงักและตกตะลึง คนผู้นั้นมิใช่ชายหนุ่มประหลาดที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตรรกะนั่นหรอกหรือ?

ทันใดนั้นสายตาที่ทั้งคู่มองไปยังชิวเยี่ยนก็เปี่ยมไปด้วยความสงสาร

ที่อีกด้านของงานเลี้ยง โต๊ะที่ชายสองหญิงหนึ่งกำลังนั่งอยู่

ในบรรดาชายสองคนนี้ คนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตางดงามราวกับหญิงสาว แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกและเฉียบคมราวกับใบมีด ส่วนอีกคนสวมกวาน*[1]ทรงสูงและเสื้อคลุมปักลาย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและโดดเด่น ท่าทางที่อ่อนโยนและสง่างามทำให้เขาดูไม่ธรรมดา

รูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายของทั้งคู่โดดเด่นอย่างยิ่ง ท่าทางของพวกเขาเองก็ดูเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมากเช่นกัน แต่ต่อหน้าสตรีที่ร่วมโต๊ะคนนั้น ราศีของทั้งสองดูราวกับจะหมองลงไปอยู่สักหน่อย

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามและสง่า ผมสีดำขลับและเรียบลื่นม้วนเป็นมวยสูง ขับใบหน้าของนางสวยยิ่งขึ้น

หากเฉินซีอยู่ที่นี่ เขาย่อมรู้ได้แน่นอนว่าคนทั้งสามนี้คือ อันเชี่ยนอวี้แห่งนิกายกระบี่สะบั้นนภา หวังเต้าซวี่แห่งนิกายจรัสแสง และเจิ้นหลิวชิงแห่งหอวารีหมอก

“โฮ่ โชคของสหายผู้นั้นไม่เลวเลย…” เห็นได้ชัดว่าอันเชี่ยนอวี้ได้ยินการสนทนาจากโต๊ะของชิวเยี่ยน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง “เดี๋ยวนะเฉินซี? ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม เขาพูดว่าเฉินซี?”

หวังเต้าซวี่พยักหน้า “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก เป็นเฉินซีจริง ๆ เพื่อนตัวน้อยขอบเขตเคหาทองคำที่ถูกหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ไล่ล่าไปหลายแสนลี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่านอกจากเขาจะยังไม่ตาย ตอนนี้ยังบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกด้วย”

“สหายผู้นั้นดูท่าจะโชคร้ายเสียแล้ว แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเฉินซีจะต่ำ แต่เขาก็มีความสามารถมาก เมื่อตอนที่เขาอยู่แค่ขอบเขตเคหาทองคำ กระทั่งหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนนี้” อันเชี่ยนอวี้จิบสุราหนึ่งจอก และพูดขึ้นขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง “ยามนี้ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าในการชุมนุมธารทองครานี้ ชายคนนั้นจะสามารถไปได้ไกลเพียงใดกัน?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากสู้กับเขา?” หวังเต้าซวี่ยิ้ม

“ข้าอยาก ข้าคิดอยากจะสู้กับเขาตั้งแต่ที่ขุมสมบัติเฉียนหยวนแล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยตระหนักถึงความปรารถนานี้จนกระทั่งตอนนี้” อันเชี่ยนอวี้ถอนหายใจ

“ฮ่า ๆ! ได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้นแล้ว ข้าก็ชักสนใจที่จะสู้กับเขาเหมือนกันแล้วสิ ข้าอยากรู้เสียจริงว่าสหายผู้นี้มีความสามารถมากเพียงไหน ถึงได้สามารถดึงความปรารถนาในการต่อสู้ของเจ้าออกมา และหลบหนีการตามล่าของหวงฝู่ฉงหมิงกับคนอื่น ๆ ได้อย่างไรกัน” หวังเต้าซวี่หัวเราะอย่างสนุกสนาน

“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าทั้งสองคนระวังตัวเอาไว้ เพียงปฏิบัติต่อเขาในฐานะคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันนั้นยังไม่นับว่ามากพอ พวกเจ้าจะต้องทุ่มเทให้เต็มกำลัง แล้วพวกเจ้าจึงอาจมีโอกาสชนะได้บ้าง ถือเสียว่านี้เป็นข้อเสนอแนะของข้าก็แล้วกัน” ในที่สุดเจิ้นหลิวชิงที่จิบชาอยู่เงียบ ๆ ก็กล่าวขึ้น

อันเชี่ยนอวี้และหวังเต้าซวี่ตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียง ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง พวกเขารู้ว่าเมื่อเจิ้นหลิวชิงพูดออกมาเช่นนั้น ก็ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

“นี่หรือว่า… ” อันเชี่ยนอวี้กล่าว

“ไม่จำเป็นต้องถามข้า หลังจากที่เจ้าได้ลองประมือที่การชุมนุมธารทอง เจ้าก็จะได้รู้เอง” เจิ้นหลิวชิงโบกมือขัดจังหวะ ดวงตาใสที่ดูเฉยเมยของนาง ราวกับถูกหมอกปกคลุม ทำให้คนอื่นเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่

อันเชี่ยนอวี้อยากจะถามต่อ ทว่าก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงจากโต๊ะของชิวเยี่ยนเสียก่อน

“ข้าชิวเยี่ยน ขอให้ทุกท่านโชคดี ได้รับชัยชนะในการชุมนุมธารทองวันพรุ่งนี้!”

“โอ้ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร น่าเสียดายที่พวกเราทุกคนไม่ได้มีโชคเท่าท่าน พี่ชายชิวเยี่ยน”

“ใช่แล้ว การต่อสู้ของพี่ชิวเยี่ยนในวันพรุ่งนี้จะต้องง่ายดายและไม่เสียแรงเป็นแน่ โอ้ จู่ ๆ ข้าก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นได้ เหตุใดเราไม่มาเดิมพันกับชัยชนะของพี่ชายชิวเยี่ยนกันเล่า?”

“วิเศษมาก! นี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน!”

“เสี่ยวเอ้อ ร้านอาหารของเจ้ารับเดิมพันหรือไม่? เร็วเข้า ข้าต้องการวางเดิมพัน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]