บทที่ 325 เริ่มต้น
บทที่ 325 เริ่มต้น
เมื่อเฉินซีก้าวลงมาจากรถม้าเกล็ดแดง ในตำหนักจ้าวปัญญาก็ได้มีการประชุมพิเศษเกิดขึ้น
พื้นที่ด้านในสุดของตำหนักจ้าวปัญญานี้เป็นพื้นที่ลวงตาที่เต็มไปด้วยปราณเซียน ทิวเขาสวยงามมากมายตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆและทะเลหมอก ภูเขาแต่ละลูกล้วนเต็มปราณวิญญาณที่หนาแน่นจนน่าตกใจ เขาทั้งหนึ่งร้อยแปดลูกก่อตัวเป็นค่ายกลเทือกเขาอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากยอดเขา หลังจากได้รับการขัดเกลาจากค่ายกลใหญ่ พวกมันก็ได้กลายเป็นปราณเซียนอันบริสุทธิ์สีฟ้าโปร่งแสงล่องลอยอยู่ทั่วทุกแห่งในที่นี้
บนท้องฟ้ากว้างมีลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาที่พร่างพราวแขวนเอาไว้อยู่ มันส่องสว่างไปรอบ ๆ ประหนึ่งดวงอาทิตย์ จึงทำให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วถูกอาบไปด้วยประกายแสงที่เจิดจ้างดงาม และเต็มไปด้วยเมฆลายมงคลนับไม่ถ้วน
แสงสว่างงดงามและเมฆมงคลก็หนาแน่น
พื้นที่แห่งนี้ถูกเปิดขึ้นภายในตำหนักจ้าวปัญญา มันเป็นสถานที่ที่ราชันผู้ปรีชา หวงฝู่จิ่งเทียน มักจะใช้บ่มเพาะ
ยามนี้ ณ ใจกลางยอดเขาที่เต็มไปด้วยปราณเซียน หวงฝู่จิ่งเทียนผู้มีร่างกายสูงโปร่งและกำยำ สวมเสื้อคลุมจักรพรรดิลายงูใหญ่เก้าตัว และประดับศีรษะด้วยกวานจักรพรรดิสีทองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของเขากะพริบไหว สร้างเกลียวสายฟ้าสีทองที่เปล่งเสียงร้องกึกก้องหมุนวนอยู่รอบตัว แลดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
นอกจากนี้บนยอดเขาอีกห้าแห่งรอบ ๆ หวงฝู่จิ่งเทียนเอง ก็มีเงาร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ นักพรตเต๋าหลงเหอแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ จ้าวจื๋อเหม่ยผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแห่งนิกายสวรรค์ปฐพี ชงซวี่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแห่งนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ผู้เป็นเจ้าของฉายาผู้ไร้พันธะ โม่หลานไห่ผู้เป็นนายเหนือหัวเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก และหลิวเสี่ยว ผู้เป็นประมุขภูเขานภาลัยแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือ
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งห้าคนจากที่ราบตอนกลาง ทะเลตะวันออกและแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ได้มารวมตัวกันอยู่ที่ตำหนักจ้าวปัญญา!
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า สหายตัวน้อยจากเมืองหมอกสนได้ออกจากเมืองนภาครามไปด้วยรถม้าเกล็ดแดงแล้ว ในที่สุดกลุ่มตะวันเร้นก็เริ่มลงมือได้แล้ว”
หวงฝู่จิ่งเทียนพูดช้า ๆ ด้วยเสียงดังที่เหมือนเสียงฟ้าร้องและเต็มไปด้วยความภูมิฐานก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ “ในวันนี้ ข้าเชิญสหายนักพรตเต๋ามาที่นี่ โดยมีจุดประสงค์ที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง นั่นก็คือเพื่อหารือเกี่ยวกับการแบ่งสมบัติที่เด็กคนนั้นครอบครองเอาไว้ หลังจากที่กำจัดเขาได้แล้ว”
การแบ่งสมบัติที่เฉินซีครอบครอง?
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งห้าคนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็ลุกโชนขึ้นมาในทันที
เท่าที่พวกเขารู้ สมบัติที่อยู่ในมือของเฉินซีนั้นอย่างน้อยก็มีสามชิ้นแล้วที่เป็นสมบัติอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่มาจากขุมสมบัติของเฉียนหยวน ทำให้เขาแทบจะเป็นเหมือนภูเขาสมบัติในร่างมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับสิ่งที่เฉินซีครอบครอง และกล้าพอที่จะเสี่ยงเพื่อจัดการกับเขา
แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นแรงจูงใจสูงสุดย่อมเป็นสมบัติอมตะทั้งสามชิ้น อย่างไม่ต้องสงสัย
การเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีนั้นอาจดูเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่แท้จริงแล้วนั้น พวกเขาก็เพียงแค่กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเป็นเหมือนดาบคมที่ห้อยอยู่เหนือหัว กดดันให้พวกเขาหายใจไม่ออก ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียทุกอย่างได้
ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ นอกเหนือจากการพยายามบ่มเพาะอย่างยากลำบากแล้ว สมบัติอมตะก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่มีประโยชน์อย่างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งอื่น ๆ ที่สามารถเอามาใช้เป็นตัวช่วยได้
ดังนั้นหากจะกล่าวว่า ด้วยสมบัติอมตะเพียงหนึ่งชิ้นก็สามารถช่วยให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่รอดปลอดภัยจากทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างต่ำก็ครั้งหนึ่งแล้ว และบางทีก็อาจจะช่วยได้มากกว่านั้น!
ฉะนั้นแล้วสำหรับสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหกคนนี้ สมบัติอมตะทั้งสามชิ้นของเฉินซีจึงมีพลังดึงดูดที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วใครจะยอมปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ กัน
“พวกเรามีกันหกคน ทว่าสมบัติอมตะมีเพียงสามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ยังเป็นสมบัติที่เสียหายและไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับอีกสองชิ้นที่เหลือเห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ข้าสงสัยยิ่งนักว่าราชันผู้ปรีชาจะแบ่งมันเยี่ยงไร?”
ประมุขแห่งเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก โม่หลานไห่กล่าวขึ้น คนผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาด้วยท่าทางของผู้มีอำนาจเหนือกว่า รัศมีของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่และแสงสีน้ำเงินห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้ชัดเจน เมื่อมองจากที่ไกล ๆ เขาเป็นดุจดั่งเทพเจ้าผู้เกิดมาจากทะเลสีคราม ซึ่งดำรงอยู่ในจุดสูงสุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมอง
อันที่จริงแล้ว ในแง่ของกลิ่นอายอันโอ่อ่า ทุกคนล้วนมีจุดเด่นเป็นของตนเอง ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีขั้น 6 และไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจนั่งในระดับที่ทัดเทียมกับหวงฝู่จิ่งเทียนผู้เป็นราชันได้
ความเย็นชาผุดขึ้นในใจของหวงฝู่จิ่งเทียน ขณะที่เขาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ ก็เพราะข้าอยากฟังความคิดเห็นของพวกท่าน ข้าสงสัยว่ามีใครพอจะมีความคิดดี ๆ เรื่องนี้บ้างหรือไม่?”
ทุกคนมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา หากเป็นไปได้พวกเขาก็ย่อมต้องการครอบครองสมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นอยู่แล้ว ใครที่ไหนอยากจะแบ่งปันมันกับผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน?
แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าจะเป็นใครในหมู่พวกเขา ต่างก็ยอมตายเสียดีกว่าจะยอมทิ้งโอกาสที่จะได้รับสมบัติวิเศษมา ดังนั้นไม่ว่าใครก็ย่อมไม่ยอมทั้งนั้น
ทว่าสมบัติวิเศษที่ว่านั้นกลับมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น หากพวกเขาเลือกที่จะแบ่งส่วนกัน ก็ต้องมีสามคนที่จะไม่ได้รับของ เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ยากเช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ความเงียบเพื่อแสดงจุดยืนต่อปัญหาดังกล่าว
“ราชันผู้ปรีชาเอ๋ย กลุ่มตะวันเร้นยังไม่ทันได้ลงมือครานี้ เด็กคนนั้นก็ยังทั้งสบายดีและมีชีวิตอยู่ การทำเช่นนี้จะไม่เป็นการด่วนสรุปเกินไปหน่อยหรือ?”
นักพรตเต๋าหลงเหอขมวดคิ้วสีขาวของตน ขณะที่เขาทำลายความเงียบลงด้วยการพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “ที่จริง จนถึงตอนนี้ชายชราผู้นี้ก็ยังคงกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง ครั้งนี้พวกเราทั้งหกคนได้ร่วมมือกันฝากฝังให้ตำหนักตะวันดำทำการซุ่มโจมตีครั้งใหญ่เพื่อจัดการกับเฉินซี หากเรื่องนี้ถูกตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงพบเข้า ผลที่ตามมาก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...