บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 61

บทที่ 61 มู่ขุย
บทที่ 61 มู่ขุย

เทือกเขาทั้งใหญ่โตมโหฬารและสวยงามดุจเกลียวคลื่นที่ทอดยาวติดต่อกัน

ในแนวเทือกเขาที่ทอดยาว ยอดเขามากมายมีความสูงจากระดับพื้นดินเฉลี่ย 66 ลี้ ด้วยลักษณะสูงบ้างต่ำบ้างต่างกันไปของภูเขาแต่ละลูกดูแล้วช่างน่ามหัศจรรย์ ขณะเดียวกันภูเขาที่ว่านี้มีสัตว์อสูรแห่งบรรพกาลมากมายปักหลักอยู่กันอย่างเงียบเชียบ

ขณะนี้อากาศขมุกขมัว ด้วยแสงสุดท้ายแห่งดวงอาทิตย์ที่ลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าสาดแสงแดงฉานทาบทับลงไปบนเมฆและหมอกจนทำให้แลดูมัวหมอง ภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านถูกฉาบด้วยแสงพระอาทิตย์ยามอัสดง เกิดเป็นภาพวาดสุดแสนยิ่งใหญ่อลังการ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ที่นี่ที่ไหน?”

ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันราวหกสิบลี้เห็นจะได้ เขาพึมพำกับตนเอง รูปหน้าซูบตอบทว่าหล่อเหลา ความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นบริเวณหว่างคิ้วเข้ม ซึ่งบ่งบอกอุปนิสัยที่แกร่งดังเหล็กกล้าของเจ้าตัวอย่างน่าฉงน เขาคือเฉินซี

กลุ่มเมฆที่ถูกกระแสลมพัดพาเคลื่อนตัวประหนึ่งปุยฝ้ายอยู่เหนือหน้าผา เสียงลมภูเขาพัดดังหวีดหวิวจนราวกับเจ้าตัวกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก เสื้อผ้าปลิวสะบัดตามแรงลมเหมือนจะหลุดออกจากตัวเต็มที

ถึงกระนั้นยามนี้เฉินซีกลับนิ่วหน้าเล็กน้อย แววตามีรอยครุ่นคิดลึกซึ้งอยู่เต็มเปี่ยม “ข้าจำได้ว่าตอนที่ที่พำนักเซียนกระบี่ถล่มลงมา ข้าพยายามหนีอย่างสุดชีวิต และคิดในใจว่าเห็นทีคงต้องตายอยู่ที่นั่น แต่พริบตาเดียวข้ากลับมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครสักคนซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจเลิศล้ำ ฉีกทะลุมิติมาช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้” ท่ามกลางก้อนเมฆใหญ่น้อยที่ลอยอยู่เหนือขอบหน้าผา จี้อวี๋ตอบ และเขาเองก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์อยู่เช่นเดียวกัน

‘ฉีกทะลุมิติอย่างนั้นหรือ? ผู้มีพลังอำนาจเลิศล้ำอย่างนั้นหรือ?’

เฉินซีรับฟังด้วยความตกตะลึง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าผู้ที่มีพลังอำนาจเลิศล้ำนั้นเป็นผู้บ่มเพาะระดับใดจึงได้มีความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวขนาดฉีกมิติได้ถึงเพียงนี้

ครู่ต่อมาเขาเริ่มสะกิดใจบางอย่าง เมื่อครู่จี้อวี๋บอกว่า ‘พวกเจ้า’ ถ้าอย่างนั้นพวกไฉ่เล่อเทียนและซูเจียวก็ต้องรอดชีวิตออกมาด้วยเหมือนกันล่ะสิ?

“แต่เหตุใดผู้เลิศล้ำคนนั้นจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยเล่า?” เฉินซีถามกลับ

ฝ่ายที่ถูกถามส่ายหน้าพลางถอนใจ “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะบังเอิญผ่านเข้ามาเจอพวกเจ้ากำลังเฉียดตายพอดี จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการสั่งสมคุณงามความดีให้แก่ตัวเองบ้างกระมัง”

‘สั่งสมคุณงามความดี มันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?’

เฉินซีคิดเท่าไรก็คิดเหตุผลดังกล่าวไม่ออก ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดใจไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็รำพึงออกมาแผ่วเบา “ข้ารอดตัวได้เพราะโชคแท้ ๆ และยังมาอยู่ท่ามกลางยอดเขามหึมาสลับซับซ้อน ทั้งยังยาวต่อเนื่องสุดลูกหูลูกตานี่อีก แล้วข้าจะหาทางกลับเมืองหมอกสนได้อย่างไร?”

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สถานที่แห่งนี้น่าจะอยู่ลึกเข้ามาในเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ราวหนึ่งหมื่นลี้ ดูทางโน้น… มีปราณปีศาจหนาแน่นจนพวยพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าไม่หยุด มันจะต้องเป็นที่สถิตของอสูรระดับสูงเป็นแน่แท้” จี้อวี๋ชี้มือไปยังเขาสูงตระหง่านไกลลิบ

ในใจของคนฟังไหววูบขณะหันไปมองตามทิศทางที่จี้อวี๋ชี้ให้ดู บนยอดเขาในเวลานี้ปรากฏหมอกดำทะมึนม้วนตัวเป็นเกลียวดุจลูกคลื่นที่มองเห็นได้จากในระยะไกล หมอกดำทะมึนนั้นกลั่นตัวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ามิได้กระจายหายไปราวกับสัญญาณควัน

ถึงแม้สัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกมันไม่มีทางขจัดปราณปีศาจออกจากร่างกาย และยิ่งมันบ่มเพาะพลังล้ำลึกมากเท่าไร ปราณปีศาจในร่างของมันก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น

ปราณปีศาจที่กลั่นตัวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เห็นจากภูเขาอันไกลโพ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า อสูรที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นอาศัยอยู่ตรงนั้น แม้แต่จี้อวี๋เองก็ยังอาจระบุถึงพลังแข็งแกร่งของมันได้อย่างชัดเจนนับประสาอะไรกับเฉินซี

“หืม” ราวกับคนผู้นั้นจะสังเกตเห็นอะไรเข้า หัวคิ้วของจี้อวี๋จึงขมวดเข้าหากันหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวคิ้วของเขาค่อย ๆ คลายลงและสีหน้ากลับมาเรียบเฉยเหมือนเคย แล้วเขาก็พูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะวิ่งเข้าหาถิ่นที่พวกสัตว์อสูรใช้เป็นพื้นที่ล่าเข้าให้แล้ว” จากนั้นร่างของผู้พูดก็สั่นเล็กน้อยก่อนหายวับไป

“พวกเจ้า…เป็นมนุษย์…จริง ๆ!”

ก่อนที่เฉินซีจะสามารถประมวลความคิดได้ว่าคำพูดของจี้อวี๋หมายถึงอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงกระโชกโฮกฮากดังมาแต่ไกล มันเป็นเสียงพูดขาด ๆ หาย ๆ ไม่ปะติดปะต่อราวกับว่าเจ้าของเสียงเพิ่งหัดพูดกระนั้น

สถานที่ที่เฉินซียืนอยู่นี้เป็นหน้าผาสูงชันบนยอดเขาที่รายล้อมด้วยหมอกหนาและปุยเมฆ ส่วนด้านหลังจะเป็นพื้นที่เต็มด้วยก้อนหินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ

ณ เวลานั้นเอง ตรงบริเวณที่เป็นลานหินมีชายหนุ่มสวมชุดดำ ผู้มีใบหน้าถมึงทึงน่ากลัว และร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวฉายแววดุร้ายและเหี้ยมเกรียมอย่างไม่ปิดบัง

“อสูรขอบเขตก่อกำเนิด?”

ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยสังหารสัตว์อสูรขอบเขตก่อกำเนิดในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้มาแล้ว ดังนั้น เมื่อชำเลืองหางตามองแวบเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนสวมชุดดำผู้นี้แท้จริงคือสัตว์อสูร

“อ้อ นึกอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นมนุษย์… ข้าคือมู่ขุย ข้าเฝ้าฝึกบ่มเพาะพลังมานานร่วมพันปี และเพิ่งได้เจอะเจอมนุษย์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เคยได้ยินว่าเนื้อมนุษย์มีรสสัมผัสนุ่มลิ้นเหลือเกิน ข้ายังนึกสงสัยว่ามันจะจริงไหม” คนชุดดำที่เรียกตัวเองว่ามู่ขุยพึมพำแผ่วเบา ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น จากนั้นก็พลันแลบลิ้นสีแดงสดดั่งเลือดนกเลียริมฝีปากแผล็บ จึงเผยให้เห็นซี่ฟันแหลมคมถนัดตา

“อยากกินข้าสินะ สัตว์อสูรก็ยังเป็นสัตว์อสูรวันยังค่ำ ต่อให้กลายร่างเป็นคนแล้วก็ตาม แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนสันดานกระหายเลือดที่ฝังลึกจนเข้ากระดูกดำของตนเอง” เฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นชายหนุ่มก็กดปลายเท้าลงไปที่พื้นดิน พร้อมกับกระตุ้นเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์ทันที จากนั้นร่างกายประหนึ่งเสือชีตาห์ของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหามู่ขุยทันที

มู่ขุยไม่คิดว่าเฉินซีจะลงมือก่อน ทว่าเขาเพียงแค่รู้สึกตระหนกเล็กน้อยในครั้งแรก ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนมาใกล้จึงเท่ากับได้ปิดช่วงระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้ว

เปรี้ยง!

พลังหมัดกระแทกออกไปจนร่างมู่ขุยปลิวกระเด็นไปทันที อย่างไรก็ตามก่อนที่ร่างที่ลอยละลิ่วจะตกลงกระแทกพื้นดิน เฉินซีก็ได้กระทืบฝ่าเท้า ดีดตัวทะยานตามไปติด ๆ จากนั้นเขาก็งอข้อศอกและเหวี่ยงท่อนแขนลงไปเต็มแรง หมัดของเขาไม่ต่างกับสว่านเจาะทะลวงฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง

เปรี้ยง!

มู่ขุยกระเด็นไปกระแทกพื้นหินแข็งจนเกิดเสียงดังสนั่น ร่างของเขาจมหายเข้าไปในชั้นดินทันที บัดนี้ที่มุมปากของเขาปรากฏคราบโลหิตแดงเข้มไหลเป็นทาง

ฟิ้ววววว!

ขณะนั้นเฉินซีเงื้อกำปั้นขึ้นอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]