บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 62

บทที่ 62 หลีหู่
บทที่ 62 หลีหู่

บนยอดเขาวงจันทราถูกปกคลุมด้วยทะเลหมอก

“เขามาแล้ว! ผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย!” เมื่อได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกที ๆ ใบหน้าของมู่ขุยพลันเหยเกดูน่าสมเพช ขณะที่เขาเฝ้าโขกศีรษะคำนับคนตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เฉินซีเองก็จนปัญญาและได้แต่ส่ายหน้า “ถ้าเจ้าไม่รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ข้าจะไม่ช่วยจริงด้วย”

มู่ขุยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็สดชื่นขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงโขกกับพื้นอีกสามครั้งและบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายอย่างไม่ปกปิด “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเหลือเกินขอรับ!”

มิทันไร ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีแดงผู้หนึ่งก็ทะยานขึ้นมายืนอยู่ที่หน้าผาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาอมชมพูระเรื่อ ริมฝีปากเม้มเรียบเนียนราวเนื้อหยก กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ประกอบกับดวงตาคมกริบรับกับคิ้วเรียวยาว ที่สะดุดตามากที่สุดก็คือรอยสักเปลวไฟบนหน้าผากที่มีเปลวไฟลุกโชน ยิ่งเพิ่มความร้ายกาจให้แก่เจ้าตัวให้มากขึ้น

“มู่ขุย ไอ้ตัวแสบ! ข้าไม่คิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้าจะมีผู้ช่วยเสียด้วย! แต่ดูเหมือนเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสินะ” ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองเฉินซีด้วยแววตาประหลาดใจ จากนั้นจึงมองเลยไปทางมู่ขุยที่บาดเจ็บทั่วตัวพลางเบ้ปากทำนองเยาะเย้ย

เฉินซีแทบไม่อยากเชื่อสายตา ด้วยหลังจากที่ได้ยินเสียงแหบห้าวซึ่งบ่งบอกถึงพลังอันลึกล้ำของอีกฝ่าย เดิมทีเขายังคิดว่าแม้หลีหู่คนนี้จะมาในร่างมนุษย์ เขาก็น่าจะมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแกร่งเสียมากกว่า ไม่คิดมาก่อนว่าคนที่โผล่มาจะกลายหนุ่มรูปงามไปได้!

เมื่อรู้ว่ามีเฉินซีคอยหนุนหลัง มู่ขุยจึงใจกล้ามากขึ้นพลันระเบิดเสียงตะโกนตอบโต้อย่างแค้นเคือง “ไอ้หลีหู่ เจ้ายั่วโทสะข้าหลายหนแล้ว คิดว่าข้าจะกลัวสินะ”

คนตรงข้ามส่ายหน้าพลางเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะหันไปชี้หน้าเฉินซีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้าวลึกว่า “เด็กน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้ารีบถอยไปเสีย อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเพราะเจ้ามู่ขุยจะดีกว่า ท่านปู่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นถึงอสูรเพลิงพยัคฆ์ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าข้าจะฆ่าหารเจ้ามันง่ายยิ่งกว่าบี้มดเสียอีก หลีก…ไป!”

“ไร้มารยาท! เจ้ากล้าดูถูกผู้อาวุโสเชียวหรือ เจ้า…ไอ้พยัคฆ์ปัญญาอ่อน รนหาที่ตายแท้ ๆ! รู้ไว้ด้วยถ้าวันนี้เจ้าต้องตายก็เพราะตัวเอง… หลีหู่…เจ้าตายแน่!” มู่ขุยแหกปากดังลั่น จากนั้นก็ตั้งท่าจะพุ่งไปข้างหน้า

“ข้าเอง” เสียงราบเรียบเหมือนไม่ยินดียินร้ายของเฉินซีดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมด้วยพลังกดดันที่ยากเกินต้านทานได้ทำให้หัวใจของมู่ขุยกลับสงบลงอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นเขาจึงถอยหลังไปทันทีและหยุดยืนอยู่ด้านข้างอย่างให้เกียรติอีกฝ่าย ทันทีที่หวนนึกถึงเหตุการณ์เผชิญหน้าอย่างน่าอนาถใจของตนเองกับเฉินซี พลันสายตาที่เบนไปมองหลีหู่ก็ปรากฏร่องรอยของความเวทนาฉายวาบ

ตึก! ตัก!

เฉินซีก้าวออกไปและพร้อมการเคลื่อนไหวนี้เอง ภาวะอารมณ์ของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เวลานั้นเองร่างสูงจึงได้ปลดปล่อยกระแสพลังการเข่นฆ่าออกมา ประหนึ่งคมกระบี่กระหายเลือดถูกกระชากออกจากฝักฉับพลัน

ซี้ดดดด!

มู่ขุยตะลึงงันจนอ้าปากค้างก่อนจะตระหนักว่า เห็นทีนี่จะเป็นพลังที่แท้จริงของผู้อาวุโสสินะ แสดงว่าก่อนหน้านั้นที่เขาเอาชนะข้า ผู้อาวุโสยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เป็นแน่…

“ไอ้หนูเจ้าเป็นใคร เอ่ยชื่อมา…เร็ว!”

กระแสพลังเข่นฆ่าที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียมซึ่งปลดปล่อยออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้หัวใจของหลีหู่ไหววูบอย่างน่าประหลาด ด้วยรู้ตัวว่าตนเองได้พบกับคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเข้าให้แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกปากถามเฉินซีเพื่อหยั่งเชิงก่อน

‘แม้แต่มู่ขุยยังรู้ได้ทันทีว่า ข้าเป็นมนุษย์เพียงชำเลืองมองแวบเดียว แต่หลีหู่กลับไม่ได้เฉลียวใจสักนิด มันเป็นพยัคฆ์โง่จริง ๆ’

ความรู้สึกสมเพชเกิดขึ้นในใจของเฉินซี ขณะที่เจตนาเข่นฆ่าผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มทันใด

มันหนาแน่นขึ้นทุกขณะ

ท่านปู่เฉินเทียนลี่เป็นบรรพบุรุษของเฉินซี สำหรับเขา ท่านปู่เป็นเสมือนเกล็ดย้อนที่มิอาจแตะต้อง ทว่าเจ้าหลีหู่นั่นกล้าเรียกแทนตัวว่าท่านปู่ทุกคำ เท่ากับเป็นการยั่วยุเขาให้ขุ่นเคืองอย่างไม่ต้องสงสัย

“ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสียแล้วค่อยไว้ชีวิตเจ้า” เฉินซีเค้นเสียงพูดอย่างเย็นชา

“เจ้ามันยโสกว่าท่านปู่หลีหู่เสียด้วย ช่วยไม่ได้เจ้าอยากรนหาที่ตายเอง!” หลีหู่ระเบิดเสียงอย่างฉุนเฉียว ทันใดนั้นปราณอสูรก็แผ่ซ่านออกจากกาย ลูกตาสองข้างกลายเป็นแดงคล้ำราวกับโลหิตคั่งอยู่ข้างใน

ฟิ้ว!

ด้วยโทสะอันพลุ่งพล่าน หลีหู่จึงตัดสินใจเคลื่อนไหวก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบทันที อุ้งมือของเขาใหญ่ราวใบพัด กรงเล็บแหลมคมยาวกว่าครึ่งหลา เปรียบดั่งคมกระบี่สิบเล่มฉาบด้วยแสงแดงฉาน จากนั้นเขาก็ทะยานเข้าใส่เฉินซีโดยหมายบดขยี้คนตรงหน้าให้แหลกคามือ

แควกกก!

ขณะที่ร่างนั้นพุ่งออกมา ผ้าคลุมสีแดงที่หลีหู่สวมใส่ก็ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในทันที จากนั้นจึงเผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตึงเปรี๊ยะและแข็งแรงดั่งหินผาของเขา ซึ่งแผ่รังสีเปล่งประกายเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน

สัตว์อสูรพยัคฆ์ตนนี้มันถึงจุดแปรสภาพร่างกายแล้วสินะ

ดวงตาของเฉินซีเป็นประกายวับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับยิ่งใหญ่ที่มีทักษะแปรสภาพร่างกายเช่นนี้ พลังการต่อสู้ของเขาพลันลุกโชนขึ้นทันที ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้กระตุ้นพลังแก่นแท้ออกมาใช้ขณะที่เขากำลังพุ่งเข้าหาหลีหู่

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ขณะนั้นเฉินซีและหลีหู่ถูกจำกัดการต่อสู้กันอยู่ในลาน ฝ่ายเฉินซีใช้วิชาหมัดถล่มทลายขั้นเอกภาพเพื่อรับมือกับหลีหู่ เป็นการต่อสู้แบบซึ่งหน้าตัวต่อตัว

การเคลื่อนไหวของเขาดุจคันธนูที่ง้างจนสุดแรง จนปรากฏเสียงกึกก้องดังสนั่นปานฟ้าผ่า!

ร่างกายของเฉินซีเปรียบดั่งคันธนูขนาดใหญ่ที่ง้างจนตึงเต็มพิกัด ความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ภายใต้มัดกล้ามและผิวหนัง บัดนี้มันได้ไหลรวมไปยังข้อต่อทุกส่วนในร่างกาย ทันทีที่เขาเงื้อหมัดฟาดจึงไม่ต่างกับลูกธนูพุ่งจากเกาทัณฑ์ ซึ่งทำให้ปรากฏเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังสนั่น

ชายหนุ่มชกหมัดถล่มทลายออกไปเต็มแรง พลังรุนแรงที่แฝงอยู่ในกายก็พุ่งผ่านหมัดนั้นพร้อมกัน จนเกิดเป็นแรงสะเทือน ณ จุดศูนย์กลาง ก่อนจะก่อเป็นระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่า!

ส่วนหลีหู่นั้น แม้เขาจะบ่มเพาะถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ แต่ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเคล็ดวิชาต่อสู้กลับธรรมดาและค่อนข้างตื้นเขิน ถ้าอย่างนั้นเขาก็คืออสูรเพลิงพยัคฆ์ จึงมีร่างกายแข็งแกร่งผิดมนุษย์เป็นธรรมดา และยังฝึกฝนบ่มเพาะพลังแปลงกายด้วยทักษะแปรสภาพร่างกาย ดังนั้นในเชิงความแข็งแกร่งของร่างกาย เขาจึงไม่ด้อยกว่าเฉินซีแต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้หลีหู่จะถูกบีบให้ต้องล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง แต่โอกาสที่เฉินซีจะสยบมันด้วยระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย

“พลังฝึกบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของผู้อาวุโสคนนี้ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน หลีหู่เป็นถึงอสูรพยัคฆ์ที่เกิดมาด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลังขนาดนี้ ยังถูกรุกไล่จนไม่สามารถโต้กลับได้เลย ยิ่งกว่านั้นหากเปรียบเทียบทักษะวิทยายุทธ์ของทั้งสองฝ่ายแล้ว วิชาหมัดของผู้อาวุโสน่าเกรงขามมากและเห็นชัดว่าบรรลุขั้นเอกภาพแล้ว…”

ห่างออกไป มู่ขุยเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยดวงตาเป็นประกายเป็นพิเศษ ยิ่งเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเฉินซีมากเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เขาเคารพนับถือชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเท่านั้น และตั้งปณิธานกับตนเองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตนจะอยู่เคียงข้างเฉินซี!

“เป็นไปได้อย่างไร ข้าฝึกทักษะแปรสภาพร่างกายมานานนับพันปี อีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลและกลายเป็นราชาอสูรแล้ว แต่กลับมาถูกบีบให้ล่าถอยเช่นนี้ได้อย่างไร?” สีหน้าของหลีหู่ดุดันยิ่งขึ้น เมื่อเฉินซีชกหมัดออกคราใด จุดตายบนร่างกายของมันถึงกับสะท้านสะเทือนทุกครั้งไปกระทั่งเลือดในกายยังถูกแผดเผาจนร้อนรุ่ม อีกทั้งกระดูกกระเดี้ยวทุกชิ้นพานเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย ในใจรู้สึกเจ็บปวดสุดแสน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]