เคหาของมู่ขุยมีขนาดไม่เกินสิบสองจั้งครึ่ง สภาพแวดล้อมในที่พักค่อนข้างแห้งทว่าสงบ ภายในประดับด้วยโต๊ะกับเก้าอี้ที่ทำจากผลึกเกลือ โดยรวมแล้วนับว่าที่แห่งนี้ค่อนข้างเรียบง่าย
ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปข้างใน เฉินซีสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของปราณวิญญาณอันหนาแน่น จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือกวาดดวงวิญญาณออกไปและพบต้นตอความปั่นป่วนในทันที
ที่มุมหนึ่งของที่พัก มีเบาะรองนั่งวางไว้อยู่ เฉินซียกเบาะรองนั่งขึ้นมา จากนั้นเขาก็เห็นก้อนหยกที่ซ่อนอยู่ภายในรอยแยกของหิน มันมีขนาดประมาณสิบสองชุ่น หนาเท่าแขนของทารก ปราณวิญญาณที่ปล่อยออกมาบริสุทธ์และหนาแน่น ยามสูดลมหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อยทำให้จิตใจรู้สึกเบิกบานสดชื่น
“นี่คือเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดที่เจ้ากล่าวถึง? ไม่น่าแปลกใจที่อสูรพยัคฆ์ตนนั้นต้องการแย่งชิงเคหาของเจ้า ปราณวิญญาณของที่นี่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงสิบเท่า อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะ” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างของเส้นชีพจรวิญญาณ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำพุวิญญาณที่เขาเคยเห็นในที่พำนักของเซียนกระบี่ เส้นชีพจรวิญญาณชิ้นนี้ยังด้อยกว่ามาก
มู่ขุยที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา การเข่นฆ่าและช่วงชิงสมบัติเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาพบเห็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงกังวลว่าความโลภจะก่อตัวขึ้นในหัวใจของเฉินซี เขาจึงต้องหาทางกำจัดมันออกไป
ตุ้บ!
เขายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว มู่ขุยจึงไม่อาจลังเลอีกต่อไป จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยเต็มใจรับผู้อาวุโสเป็นเจ้านาย ข้าขอยืนเคียงข้างรับใช้ท่าน มู่ขุยผู้นี้จะรับใช้ผู้อาวุโสเพียงผู้เดียวตลอดชีวิตของข้าเท่านั้น หากข้าฝ่าฝืนคำสาบานนี้ ขอให้เต๋าแห่งสวรรค์ลงทัณฑ์ข้า และไม่อาจเวียนว่ายตายเกิดได้อีกตลอดกาล!”
เฉินซีรู้ดีว่าอสูรผู้นี้เกรงกลัวที่จะถูกฆ่าและถูกแย่งชิงสมบัติไป หากเขาปฏิเสธมู่ขุยในตอนนี้ มันจะทำให้มู่ขุยไม่สบายใจตลอดไป และอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในภายภาคหน้า
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับและกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับคำขอของเจ้า แต่ให้ข้ากล่าวถึงบางสิ่งก่อน ตัวข้านั้นจะไม่พาเจ้าออกไปจากที่แห่งนี่”
“ท่านผู้อาวุโส มู่ขุยต้องการติดตามรับใช้ท่านด้วยความจริงใจ ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้จะไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสมาคอยดูแลข้าโดยเด็ดขาด โปรดยอมรับคำขอของข้าเถิดท่านผู้อาวุโส” มู่ขุยรู้สึกปลอดภัยเล็กน้อย แต่เมื่อเขานึกถึงถ้อยคำครึ่งหลังที่เฉินซีกล่าว เขาก็ต่อต้านขึ้นมา และพูดกับตัวเอง “หรือท่านผู้อาวุโสกลัวว่าข้าจะสร้างปัญหาให้? “
เฉินซีส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้า หากเจ้ายังยืนกรานเช่นนี้ เห็นที…” ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ มู่ขุยก็รีบชิงกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส โปรดระงับความโกรธของท่าน ข้าจะทำตามที่ท่านกล่าว”
เฉินซีพยักหน้ารับ
มู่ขุยยังคงสนทนากับเฉินซีต่อ แรกเริ่มนั้นเขาเพียงต้องการทราบภูมิหลังของเฉินซี แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายดูหมกมุ่นอยู่กับสิ่งอื่น เขาจึงขอตัวลาในทันที
เคหาแห่งนี้ถูกเฉินซียึดครอง แต่มู่ขุยไม่ได้คิดถึงสิ่งใดอีก เพราะเขายังคงซาบซึ้งที่เฉินซีไม่ได้ลงมือฆ่าเขา
…
“ฮู่!”
เฉินซีนั่งลงบนเบาะรองนั่งแล้วถอนหายใจ ปราณวิญญาณอันบริสุทธิ์และหนาแน่นที่หลั่งไหลออกมาจากเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้เขาไม่อาจผ่อนลมหายใจได้อย่างสบาย
“ที่แห่งนี่นับว่าไม่เลวนัก” จี้อวี๋ที่อุ้มลูกปี่เซียะไว้ในอ้อมแขนปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
เฉินซีคุ้นเคยกับการที่จี้อวี๋หายไปหายมาดั่งภูตพราย และเขารู้ดีว่า จี้อวี๋มักจะปรากฏกายออกมาเมื่อไม่มีผู้คนโดยรอบ
“โฮก!”
ดวงตาของปี่เซียะมีสีขาวเหมือนเกล็ดหิมะ ตัวของมันมีขนาดเท่ากำปั้นเล็ก ๆ มันคำรามไปยังเฉินซีที่นั่งสมาธิอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันสังเกตเห็นเศษเสี้ยวของเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอด
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดูและต้องการโอบกอดมัน แต่เขากลับถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดจากจี้อวี๋ “ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้ายังคงไม่เพียงพอที่จะปราบไป๋คุย และอาจปล่อยให้มันหลบหนีไปได้”
“ไป๋คุย?” เฉินซีตกตะลึง
“ถูกต้อง มันมีนามว่าไป๋คุย มันเกิดมาพร้อมร่างวิญญาณและมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่ในฐานะสัตว์มงคลที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันจึงไม่อาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ตลอดชีวิต”
ชายชรากล่าวต่อว่า “นี่คือเต๋าแห่งสวรรค์ ซึ่งจะตัดทอนผู้ที่มีมากเกินไป และส่งเสริมผู้ที่ขาดแคลน หากปี่เซียะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และฝึกฝนโดยอาศัยโชคที่ติดตัวมา ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นตัวตนไร้เทียมทาน ซึ่งส่งผลร้ายต่อสมดุลของทั้งสามโลก”
“ตัดทอนผู้ที่มีมากเกินไปและส่งเสริมผู้ที่ขาดแคลน?” เฉินซีสับสนยิ่งนัก เต๋าแห่งสวรรค์นั้นลึกซึ้งและเข้าถึงได้ยาก แล้วตัวเขาจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในเต๋าแห่งสวรรค์ด้วยทัศนวิสัยในปัจจุบันได้อย่างไร?
“เจ้าวางแผนที่จะทำสิ่งใดต่อ? หรือจะรั้งอยู่ที่นี่ตลอดไป?” จี้อวี๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่าทีของเฉินซีดูจริงจังมากขึ้น ยามที่เขาพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ขอรับ ข้าได้ยินจากมู่ขุยมาว่า ราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดมีกองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ใต้อาณัติของพวกมัน อีกทั้งยังครอบครองพื้นที่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ที่เป็นเหมือนกำแพงที่คอยปกปักรักษาและมิอาจข้ามผ่านไปยังโลกภายนอก ดังนั้นข้าอยากจะอยู่ที่นี่ชั่วคราวและค่อยจากไปเมื่อการบ่มเพาะของข้าได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาพูดคุยกัน มู่ขุยต้องการทราบถึงตัวตนของเฉินซี แต่เฉินซีได้เปลี่ยนหัวข้อด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ และทำให้มู่ขุยยอมเปิดเผยความลับต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ชายหนุ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่แถบนี้ได้ดีขึ้น
เทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้มีอาณาเขตสองพันห้าร้อยลี้ และพื้นที่ศูนย์กลางครอบคลุมถึงหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบลี้
สัตว์อสูรเตร็ดเตร่ไปมาอย่างอิสระและอาละวาดทำลายล้างในพื้นที่ศูนย์กลางนี้ บรรดาสัตว์อสูรเหล่านี้มีราชาสัตว์อสูรทั้งเจ็ดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...