บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 64

บทที่ 64 บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล
บทที่ 64 บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล

“จงควบแน่นปราณแท้ผ่านเส้นชีพจรนับร้อยเส้นทั่วทั้งร่างกาย หลอมรวมลมปราณและวิญญาณ จากนั้นค่อยใช้ทักษะปรับลมหายใจเพื่อควบคุมกระแสของลมหายใจ… เมื่อบ่มเพาะจนถึงขีดสุด จะสามารถยับยั้งกลิ่นอายและเร้นกายหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย นับเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไร้จิตสัมผัสเทพหากจะสัมผัสรู้ถึงตัวตนเจ้า” เฉินซีถือเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยและซึมซับถ้อยคำแต่ละคำในขณะที่อ่านมัน ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปล่งประกายเมื่อกาลเวลาได้ผ่านพ้นไป

ช่างทรงพลังเหลือเกิน!

เฉินซีไม่อาจหยุดอุทานได้ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ หลังจากที่เขาอ่านแผ่นหยกจบแล้ว

เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยนับเป็นเคล็ดวิชาลับที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ยามที่บ่มเพาะจนบรรลุแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถยับยั้งกลิ่นอายภายในร่างกาย ทว่าทั้งร่างยังโปร่งใสและหายไปราวกับว่าเขาสลายไปในอากาศ

สิ่งที่ควรให้ความสนใจมากที่สุดคือ หลังจากใช้เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยแล้ว เว้นแต่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่ครอบครองจิตสัมผัสเทพ มิฉะนั้น ก็เป็นการยากที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะสังเกตถึงร่องรอยของผู้ใช้ เพราะจิตสัมผัสเทพเป็นความสามารถที่จะได้รับมาเมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุถึงขอบเขตจุติแล้วเท่านั้น!

อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยนี้สามารถใช้ได้ยามที่ปราศจากการเคลื่อนไหวเท่านั้น เมื่อใดที่ขยับกายจะถูกเปิดเผยในทันที และด้วยข้อบกพร่องนี้เอง จึงทำให้เฉินซีรู้สึกว่าน่าเสียดายยิ่งนัก

หากเขาสามารถใช้เคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอยขณะที่พุ่งทะยานก็จะสามารถออกจากส่วนลึกของเทือกเขาโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกหนึ่งในเจ็ดราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ฆ่า

โดยสรุป การที่เฉินซีครอบครองเคล็ดวิชารัศมีไร้ร่องรอย จะช่วยส่งเสริมจุดแข็งในปัจจุบันของตัวเขา และได้รับวิธีการเอาชีวิตรอดมาเพิ่มเติมอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นอาวุธที่สามารถใช้ในการลอบจู่โจมและจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวได้ด้วย!

“ความต้องการขั้นต่ำในการบ่มเพาะแผ่นหยกเหล่านี้ก็คือการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นอย่างน้อย ดูเหมือนว่าข้าจะต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลให้ได้เสียก่อน…”

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะวางแผ่นหยกลงบนพื้น จากนั้นก็หยิบขวดบรรจุทรงแปดเหลี่ยมออกจากแหวนมิติ จากนั้นวางบงกชจิตเยือกแข็งไว้ข้างกาย และโคจรปราณแท้ในร่างเพื่อดูดซับเส้นชีพจรวิญญาณชั้นยอดซึ่งอยู่ที่ใต้เบาะนั่ง

บงกชจิตเยือกแข็ง เป็นสมบัติวิเศษที่สามารถสยบปีศาจที่เกิดขึ้นภายในจิตใจระหว่างการบ่มเพาะ ในขณะนั้นดูเหมือนว่ามันเริ่มปลดปล่อยพลังออกมาจึงทำให้จิตใจของเฉินซีสงบลง

ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบนี้ อารมณ์อันพลุ่งพล่านของเฉินซีค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ

ขวดทรงแปดเหลี่ยมนี้ไม่เพียงแต่บรรจุของเหลวที่กลั่นมาจากปราณปรโลกอันชั่วร้ายถึงหนึ่งร้อยห้าสิบจิน แต่ยังมีวารีวิญญาณเกือบเจ็ดร้อยห้าสิบจินบรรจุอยู่ด้วย วารีวิญญาณเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากห้องโถงสมุนไพรร้อยแปดภายในที่พำนักของเซียนกระบี่ และหากไม่ใช่เพราะว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดวงจิตทองคำที่เติบโตจากการดูดซับน้ำพุวิญญาณ เฉินซีคงจะสามารถรวบรวมวารีวิญญาณได้มากกว่าเจ็ดร้อยห้าสิบจิน

อย่างไรก็ตาม วารีวิญญาณเหล่านี้ก็เพียงพอต่อการบ่มเพาะของเขาไปอีกสักระยะ

วู้ววววว!

ขวดทรงแปดเหลี่ยมก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นปากขวดก็เอียงลงและเทวารีวิญญาณออกมาราวกับสายน้ำ ในขณะที่เฉินซีอ้าปากและกลืนมันเข้าไป

วารีวิญญาณมักถูกใช้โดยผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพื่อก่อสร้างรากฐานแห่งเต๋า หรือผู้บ่มเพาะที่ระดับการฝึกฝนเหนือกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิล ทว่าในขณะนี้ชายหนุ่มกลับใช้มันเพื่อบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแทน ซึ่งนับว่าการกระทำที่เสี่ยงยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่อาจใส่ใจต่อสิ่งอื่นได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ในส่วนลึกที่มากไปด้วยอันตรายของเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ บรรดาสัตว์อสูรต่างอาละวาดไปทั่วทิศทาง มีเพียงแต่จะต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขาอย่างรวดเร็วเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสเอาชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี้ได้!

ปัง! ปัง!! ปัง!!!

เมื่อกลืนกินวารีวิญญาณแล้ว ก็มีเสียงดังสนั่นราวกับลำธารใหญ่พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าดังสะท้อนอยู่ในร่างกายของเฉินซี วารีวิญญาณที่พลุ่งพล่านและบริสุทธิ์เป็นดั่งสัตว์ร้ายที่อาละวาดอย่างเดือดดาลอยู่ภายในเส้นชีพจรทั้งหมดของเขา ทุกส่วนที่มันไหลผ่านราวกับถูกมีดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนกรีดเส้นชีพจรทุกเส้นอย่างดุเดือด ทำให้ริ้วความเจ็บปวดปรากฏทั่วทั้งร่างกาย

เฉินซีส่งเสียงร้องโอดครวญขณะที่เขากัดฟันแน่น เพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บปวด และโคจรเคล็ดวิชานภาม่วงควบคู่ไปด้วย

นับว่าโชคดีที่จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอที่จะนำพากระแสวารีวิญญาณไปตามเส้นชีพจรที่อยู่ในร่างกายอย่างรวดเร็ว และเริ่มหมุนเวียนไปทั่ว หลังจากที่เสร็จสิ้นการการโคจรไปถึงสามสิบหกรอบ วารีวิญญาณทั้งหมดก็ถูกสูบเข้าไปในตันเถียนของเขา

ในขณะนี้ ตันเถียนของเขามิอาจสงบอย่างที่เคยเป็น เมฆปราณแท้ทั้งเก้าก้อนที่มีรูปลักษณ์คล้ายขั้นบันได ก่อตัวขึ้นไปยังเบื้องบนราวกับว่าพวกมันถูกกวนด้วยมือขนาดมหึมา พวกมันสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่ในตันเถียนของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูดซับปราณแท้ที่หลั่งไหลเข้ามาภายใน

กระบวนการดูดซับนี้ใช้ระยะเวลาถึงสามวันเต็ม!

สามวันต่อมา วารีวิญญาณเกือบสองร้อยห้าสิบจินต่างก็ถูกดูดซับจนหมดสิ้น ขนาดของเมฆปราณแท้ทั้งเก้าได้ขยายมากขึ้นถึงสิบเท่า และพวกมันเป็นดั่งแป้งหมักที่ปิดกั้นตันเถียนมิอาจขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

เฉินซียังไม่ได้หยุดบ่มเพาะและยังคงดูดซับวารีวิญญาณที่ถูกขัดเกลาด้วยเคล็ดวิชานภาม่วงเข้าสู่ตันเถียนต่อไป

แคร่ก! แคร่ก! แคร่ก!

หลังจากปราณวิญญาณพุ่งเข้ามาจนเกิดการปะทะอย่างไม่หยุดยั้ง ตันเถียนของเฉินซีที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมก็เริ่มพองขึ้นเล็กน้อยราวกับมันจะแตกออกในช่วงเวลาอีกไม่นาน

ในขณะนั้นเอง

ดวงตาของเฉินซีเปิดขึ้นอย่างฉับพลันและฉายแสงเย็นหมุนวนอยู่ภายในดวงตาของเขา ขณะที่เขาตะโกนก้องราวกับท้องฟ้าถูกแยกออก “ทะลวง!”

ภายนอกเคหา มู่ขุยกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขาคือปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกทั่วทั้งเทือกเขาวงจันทราราวกับว่าถูกเรียกตัว ขณะที่พวกมันจับกลุ่มพุ่งเข้ามาในเคหา พายุรุนแรงได้ก่อตัวขึ้นและพัดโหมกระหน่ำในระดับที่น่าตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“หยิบยืมปราณวิญญาณจากสวรรค์และโลก?” ดวงตาของมู่ขุยเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “เป็นไปได้ไหมว่าท่านผู้อาวุโสเฉินซีกำลังจะบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล?”

“หืม?” ห่างออกไปสองพันห้าร้อยลี้ ภายในภูเขาสูงชันที่ราวกับกระบี่แหลมคมแทงทะลุเสียดฟ้า ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดดำและมีผมขาวนั่งอยู่บนเตียงหยกขณะที่เขาดื่มสุราชั้นเยี่ยม ข้างกายเขามีสัตว์อสูรสาวงดงามมาคอยนวดคลึงที่ขา สีหน้าพึงพอใจและผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตถึงอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นยืน ถ้วยสุราที่ทำจากกระดูกขาวในมือของเขาตกแตกกระจายลงบนพื้น และดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง “ผู้ใดบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลภายในอาณาเขตของข้า? มดปลวกพวกนั้นไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งพอที่จะบรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแม้แต่ผู้เดียว หรือว่าอาจเป็นสหายเต๋าจากที่อื่น?”

“ฝ่าบาท ท่านสัมผัสได้ถึงบางสิ่งอย่างนั้นหรือเพคะ?” สัตว์อสูรสาวแสนสวยถามอย่างระมัดระวัง

ชายหนุ่มผมขาวในชุดดำโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าไปหาศิษย์ของข้าหลีหู่ และสอบถามเขาว่ามีสัตว์อสูรที่บ่มเพาะในวิถีของเต๋าอยู่ใกล้เคียงหรือไม่”

“ทราบแล้วเพคะ ฝ่าบาท” สัตว์อสูรสาวผู้นั้นแย้มยิ้มก่อนจะแปลงร่างเป็นปักษาวิญญาณที่มีขนสีขาวและโบยบินออกจากที่พำนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]