หนึ่งเดือนต่อมา ณ จุดสูงสุดของเทือกเขาวงจันทรา
เฉินซีถือกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเขา ภายใต้การจ้องมองของจี้อวี๋ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าก่อนจะสะบัดข้อมือออกกระบวนท่าเงาวายุพริบตา!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ริ้วกระบี่คมกริบนับไม่ถ้วนเป็นดั่งคลื่นที่ซัดเข้าหากันเมื่อเสียงลมและเสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานด้วยเสียงครวญคราง สวรรค์และโลกราวกับเต็มไปด้วยแสงเย็นยะเยือกและพร่างพรายซึ่งว่องไวราวกับเงา
วิ้ง!
ปราณกระบี่ส่องประกาย และภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
ปราณกระบี่เรียวเล็กพุ่งออกไปมากมายจนเกิดเป็นวงกลมระลอกคลื่นในอากาศ จากนั้นพวกมันก็สับก้อนเมฆที่ห่างไปสิบจั้งจนสลายกระจัดกระจายไปโดยสิ้นเชิง
นี่คือกระบวนท่าที่สองของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง!
“เด็กคนนี้ไม่เลว เขาสามารถใช้กระบวนท่าสายฝนโปรยปราย โดยแฝงจิตสังหารเอาไว้ในกระบวนท่านั้นได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแก่นแท้ของมันแล้ว” จี้อวี๋ที่ยืนอยู่ใกล้เคียงก็พยักหน้าเบา ๆ
กระบวนท่าที่สาม ‘วายุทมิฬ’ เมื่อออกกระบี่อย่างรวดเร็วไม่รู้จบ ทั้งหน้า หลัง ซ้าย ขวา ทั่วทุกทิศปรากฏภาพจำแลงกระบี่ที่หนาแน่นเหมือนหมู่เมฆ จากนั้นมันก็ปลดปล่อยปราณกระบี่หนาแน่นและรุนแรงปกคลุมท้องฟ้า
ท่าที่สี่ ‘วารีคลั่ง’ อำนาจของกระบี่นี้ถาโถมราวกับคลื่นสมุทรคลั่ง พลังของมันนับว่าแข็งแกร่งไร้ต้าน อีกทั้งยังเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระและรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าหาฝั่ง
ฟู่ว!
เฉินซีหยุดและเก็บกระบี่ของเขาหลังจากใช้กระบวนท่าทั้งสี่ของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง จากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อสงบจิตใจและรวบรวมสมาธิ
“ไม่เลวทีเดียว เจ้าเชี่ยวชาญสี่กระบวนท่าแรกแล้ว” จี้อวี๋พยักหน้าและประเมิน “แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงกับบรรลุขั้นเอกภาพ เมื่อใดที่เจ้าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว กระบี่ของเจ้าจะสามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาใช้ได้ เท่านั้นจะถือว่าเป็นขั้นเอกภาพที่แท้จริง”
เฉินซีพยักหน้าและยอมรับคำสอนของจี้อวี๋
ต่อจากนั้น จี้อวี๋ก็เริ่มประเมินเคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวที่เฉินซีฝึกฝน
ทั้งสองมาถึงป่าไผ่เขียวขจีอันหนาแน่นที่อยู่ด้านหลังเทือกเขาวงจันทรา
“ป่าไผ่แห่งนี้กินพื้นที่ราวหนึ่งร้อยลี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือไปและกลับมา ห้ามแตะต้องลำต้นหรือใบไม้ใด ๆ ระหว่างทาง และปลายเท้าต้องไม่แตะพื้น” จี้อวี๋สั่งอย่างเฉยเมย “เจ้าต้องทำให้เสร็จภายในเวลาสิบลมหายใจ”
‘คำสั่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!’
ขณะที่จ้องมองไปยังป่าไผ่ที่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ เฉินซีก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
เขาเพิ่งเริ่มฝึกฝนเคล็ดวาตะเหินทะยานเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ซึ่งเขาเคยฝึกมันมาก่อนหน้านี้ ณ บริเวณลานกว้างบนยอดเขาของเทือกเขาวงจันทรา ที่นั่นมีพื้นที่กว้างขวางและมีกระแสลมพัดผ่าน ดังนั้นเขาจึงสามารถบินไปรอบ ๆ ได้อย่างเต็มที่และง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับป่าไผ่นี้ การจะผ่านป่าไผ่ทั้งหมดภายในเวลาสิบลมหายใจโดยไม่สัมผัสกิ่ง ลำต้นหรือใบแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เจ้ากังวลว่าตัวเองจะทำไม่ได้หรือ?” จี้อวี๋ส่ายหัวและกล่าวเย้ยหยัน “การทดสอบนี้ยังคงเป็นพื้นฐานที่สุด การต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ดำเนินไปขณะที่บินผ่านชั้นฟ้าและแผ่นดินเสมอ มันไม่เหมือนกับที่เจ้าจินตนาการว่าจะเป็นการแลกหมัดอย่างเท่าเทียม แต่มันเป็นการใช้ประโยชน์จากความสามารถและทุกกลอุบายที่เจ้ามี ตัวอย่างเช่น การเอาชนะด้วยความเร็วพริบตาเหมือนผี หากทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าด้อยกว่า ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ยืดเยื้อ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถหลบการโจมตีสังหารแรกของคู่ต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ”
ความลังเลใจของเฉินซีนั้นรุนแรงขึ้นจากสิ่งที่จี้อวี๋กล่าวและได้กลายเป็นความไม่เต็มใจเอ่อล้นอยู่ในหัวใจของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ทะยานออกจากพื้นทันที ร่างเปลี่ยนไปเป็นลำแสงเล็ก ๆ ขณะที่พุ่งเข้าไปในป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์ในชั่วพริบตา
วิ้ว!
ลมหนาวพัดผ่านมาจากด้านข้างของร่างกายของเขา แต่เฉินซียังคงควบคุมทิศทางการทะยานของตัวเองไว้มั่น
เขาไม่สามารถสัมผัสลำต้นหรือใบไผ่ได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งเพื่อลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างต้นไผ่ที่รวมตัวกันหนาแน่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนทิศทางกลับทำให้เสียเวลา แม้ว่าจะเพียงชั่วครู่ก็ตาม สำหรับเฉินซีที่ต้องเดินทางผ่านป่าไผ่ภายในเวลาสิบลมหายใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการพยายามครั้งแรกของเขาล้มเหลว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็บินออกจากป่าไผ่
“ยี่สิบหกลมหายใจ ยังไม่ดีพอ” จี้อวี๋ส่ายหัวรัว
ใบหน้าของเฉินซีไร้อารมณ์ขณะที่เขาบินเข้าไปในป่าไผ่อีกครั้ง
“สิบแปดลมหายใจ ยังไม่ดีพอ”
“สิบสองลมหายใจ สัมผัสใบไผ่สามใบ ยังไม่ดีพอ”
“…ไม่ดีพอ”
คำว่า ‘ไม่ดีพอ’ วนเวียนอยู่ในหัวของเฉินซีตลอดช่วงบ่าย เสียงนั้นสงบและไม่แยแส แต่กลับเหมือนฝันร้ายที่ทำให้เขาไม่เพียงรู้สึกอาย แต่ยังกระตุ้นความดื้อรั้นและไม่ยอมใครง่าย ๆ ของเขาด้วย หลังจากที่จี้อวี๋ออกไป ชายหนุ่มก็บินไปมาในป่าไผ่ด้วยตัวเขาเอง โดยไม่หยุดพักเลยสักนิด
ทุกครั้งที่เขาหมดแรงจนแทบจะทนไม่ไหว คำว่า ‘ไม่ดีพอ’ ที่เคยออกจากปากของจี้อวี๋เบา ๆ กลับเหมือนดังก้องขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็จะกัดฟันและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง…
พลั่ก!
เหงื่อกาฬไหลโซมกาย การหายใจอันหนักหน่วงของเขาดังก้องอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน เฉินซีไม่สามารถยืนขึ้นได้และเขาก็ล้มตัวลงไปบนพื้นอย่างหมดแรง ปราณแท้ในร่างถูกใช้จนเกลี้ยง ความเหนื่อยสาหัสนี้ทำให้เขาไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว
ชายหนุ่มเพียงแค่นอนอยู่อย่างนั้น สายตาจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ปล่อยให้เหงื่อไหลลงออกไปจากร่างกายเหมือนสายน้ำ
“สิบลมหายใจ ข้าอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว…” คอของเฉินซีแห้งผาก และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความรำคาญและไม่เต็มใจ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าจี้อวี๋ยืนกำลังเฝ้าดูอย่างตั้งใจอยู่ในระยะไกลอย่างเงียบงัน ดวงตาที่ผ่านกาลเวลามานานของชายชราเผยให้เห็นร่องรอยความชื่นชมที่หายาก
สิบวันต่อมา
เฉินซีทะยานเข้าไปในป่าไผ่พร้อมกับเสียงดัง ‘ฟิ้ว’
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...