บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 679

บทที่ 679 ยึดสมบัติ

บทที่ 679 ยึดสมบัติ

ฟิ้ว!

ค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมดของแท่นบูชา

แม้แสงสีดำแปลกประหลาดนี้จะดูน่ากลัวเสียจนขนหัวลุก แต่มันกลับท่วมท้นไปด้วยพลังอันร้อนระอุ ดูราวกับสามารถหลอมละลายและเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นเถ้าถ่านได้

ทันทีที่ปรากฏขึ้น มันได้ทำให้ความว่างเปล่าร้อนฉ่าเสียจนเกิดเสียงดังฟู่ จากนั้นอากาศก็เริ่มบิดเบี้ยวและม้วนตัวอย่างรุนแรง ข้อจำกัดที่แต่เดิมปกคลุมอยู่โดยรอบแท่นบูชาก็ถูกเปิดใช้งาน บังเกิดเสียงดังก้องกังวาน กระแสลมปั่นป่วนและน่าสะพรึงกลัวได้โหมกระหน่ำไปทั่วบริเวณโดยรอบ และทำให้โลกมืดหม่นลงทันที

ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

อานุภาพของค่ายกลนี้เกือบจะบดขยี้ดวงอาทิตย์ ทลายดวงจันทร์ และทำลายท้องฟ้า อีกทั้งยังแผ่ขยายและปกคลุมลงมาอย่างฉับพลัน จึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้นไม่ทันตั้งตัว และต้องหลบหลีกอย่างทุลักทุเล

“นี่มัน!?”

“บัดซบ! เราถูกซุ่มโจมตี!”

“ช่างเป็นค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริง! แสงอันดำมืดนี้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก มันสามารถกัดกร่อนเลือดเนื้อและกระดูก หรือแม้แต่วิญญาณได้!”

“บัดซบ! นี่มันแสงอสูรเพลิงทมิฬจากพิภพแสงทมิฬซึ่งอยู่ต่างพิภพ! ผู้เปิดฉากโจมตีในครั้งนี้คือ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้มีชีวิตอยู่มายาวนาน อีกทั้งยังมีความรู้กว้างขวาง พวกเขาจึงสังเกตเห็นแทบจะทันทีว่า ค่ายกลใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันนี้ แท้จริงแล้วคือพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากต่างพิภพ!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!

กี่ปีแล้วที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ปรากฏตัวในภพทั้งสาม? ครั้งสุดท้ายที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น ก็อยู่ในช่วงยุคบรรพกาลเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน และมันผ่านกาลเวลามานานแสนนาน มันนานเสียจนภพทั้งสามได้ลืมการมีอยู่ของพวกนอกรีตเหล่านี้ไปแล้ว

ทว่าด้านหน้าแท่นบูชาที่อยู่ภายในด่านแห่งความลึกล้ำในเวลานี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หรือนี่จะเป็นสัญญาณบอกว่าภพทั้งสามกำลังจะเกิดกลียุคขึ้นจริง ๆ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดก็เคร่งขรึมขึ้น และพวกเขาไม่อาจสนใจโอสถทิพย์หรือสมบัติศักดิ์สิทธิ์มากมายบนแท่นบูชาได้อีกต่อไป ปราณเซียนดังกึกก้องไปทั่วร่างกายของพวกเขา ขณะใช้สมบัติวิเศษและพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ที่น่าสะพรึงกลัว เพื่อต้านแสงแห่งความมืดที่คืบคลานเข้าหาจากทุกทิศทุกทาง

ครืน!

ปราณเซียนพุ่งออกมาดุจมังกรสะบัดหาง ทำให้ลำแสงทั้งหลายปะทะกัน ดูราวกับภูเขาไฟหลายลูกชนกันจนปะทุขึ้น คลื่นพลังสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จนทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันดูเหมือนกับการมาถึงของภัยพิบัติวันสิ้นโลก

เมื่อเผชิญกับการซุ่มโจมตีของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในเวลานี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดต่างไม่กล้าที่จะเก็บออมพลังแม้แต่น้อย พวกเขาต่างใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด ร่างของพวกเขาดูยิ่งใหญ่ราวกับเทพเจ้าที่ยืนตระหง่านอยู่ใต้หล้า และทุกการโจมตีก็มีอานุภาพที่สามารถทำลายล้างได้ทั้งเมือง

ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งก็คือ ค่ายกลนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง และแม้ว่าพวกเขาจะรวมพลังกันนับสิบคน ทว่ากลับไม่สามารถทำลายมันได้!

ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทุกคน กอปรกับพวกเขาได้ใช้พลังออกไปทั้งหมดและเอาชีวิตเข้าแลก แม้กระทั่งค่ายกลเซียนก็ยังถูกพวกเขาทำลาย ทว่าตอนนี้คนทั้งหมดกลับไม่สามารถทำอะไรกับค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้ แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?

แสงแห่งความมืดอันชั่วร้ายเหล่านั้นรุนแรงยิ่งขึ้น และพวกมันก็ก่อตัวเป็นภูตผีแปลกประหลาดมากมาย จนดูเหมือนกับปีศาจที่ดุร้ายและกระหายเลือดนับไม่ถ้วน ซึ่งปิดล้อมผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีด้วยความตั้งใจที่จะกลืนกินวิญญาณและดื่มเลือดของพวกเขา

ในขณะนี้ หัวใจของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้จมลงสู่ก้นบึ้ง ด้วยต่างก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้คับขันเป็นอย่างยิ่ง และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาอาจจะไม่ได้รับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ และต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำแทน!

“บัดซบ! ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกมันหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากกฎของเต๋าสวรรค์ในทั้งสามภพได้อย่างไร?!”

“ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ สหายเต๋า สถานการณ์ของเราตอนนี้เสียเปรียบอย่างมาก ถึงขั้นที่ชีวิตของเราอาจตกอยู่ในอันตราย หากเรายังไม่ใช้พลังทั้งหมดออกไป ข้าเกรงว่า…”

“ฆ่าพวกมัน! ทุ่มพลังออกไปให้หมด! แม้ว่าจะต้องสละชีวิต แต่เราต้องฆ่าไอ้สารเลวต่างพิภพเหล่านี้ให้จงได้”

“ฆ่า!”

เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความตาย ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที หนวดเคราของพวกเขากระพือพลิ้วด้วยความโกรธ ตัวคนดูเหมือนกับปีศาจคลุ้มคลั่งพุ่งไปข้างหน้าและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ซึ่งท่าทางของคนทั้งหมดก็เหี้ยมโหดราวกับหมายจะเสี่ยงชีวิตจนตัวตาย

แน่นอนว่าภายใต้การโจมตีที่สิ้นหวังของพวกเขา ค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง มันสั่นสะเทือนจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และกำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า

“ฮึ่ม! ไอ้พวกโง่เขลา พวกเจ้าอยู่ในค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วของข้าแล้ว แต่ยังดิ้นรนจะเอาชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?”

ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกยินดี เสียงที่น่าสยดสยองและเย็นชาก็ดังขึ้น และสิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือชายที่สวมชุดคลุมสีทอง เขาปรากฏตัวอย่างกะทันหันภายในค่ายกลใหญ่

คนผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง มีหน้าตาที่หล่อเหลา เสื้อคลุมสีทองของเขาถูกปักด้วยลวดลายแปลกประหลาดและบิดเบี้ยวมากมาย ซึ่งขับเน้นให้เจ้าตัวมีท่าทางที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น

ชายในชุดคลุมสีทองคนนี้คือเสวียนเฉิน และทันทีที่เจ้าตัวปรากฏขึ้น เขาก็เหยียดนิ้วยาวสีขาวของตนออกไป ก่อนที่จะตวัดนิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้แสงสีดำสนิทและมืดมนฟันลงมา

แสงสีดำสนิทนี้แฝงด้วยกลิ่นอายที่คลุมเครือ น่าสะพรึงกลัวและเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ซึ่งดูจะสามารถพิพากษาทุกสิ่งในโลกได้ และทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็ได้ปรากฏตรงหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งราวกับเคลื่อนย้ายมิติ

พรวด!

ศีรษะเปื้อนเลือดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า น้ำพุเลือดสีแดงฉานก็พุ่งออกมาจากคอของคนผู้นั้น และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนนั้นไม่ทันแม้แต่จะร้องโหยหวน ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงกับพื้น

ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กลับสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้!

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นได้ตายลง ร่างกายของเขาก็มอดไหม้จนไม่เหลือซาก และเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในแสงสีดำที่อยู่ในค่ายกลทั้งหมด ในชั่วพริบตาพลังของค่ายกลก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]