บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 907

บทที่ 907 อดีต

บทที่ 907 อดีต

ต้นสนสั่นไหวตามแรงลม ในขณะที่อากาศถูกปกคลุมไปด้วยหมอก

ไป๋หว่านฉิงกับเฉินซีนั่งหันหน้าเข้าหากันที่ด้านหน้าโต๊ะหิน พวกเขาจิบชาในขณะที่สบตากัน

เมื่อพวกเขากล่าวถึงผู้เฒ่าหม่า เพ่ยเพ่ย และเฉียวหนานจากร้านอาหารนทีกระจ่าง ไป๋หว่านฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ แต่ในเวลาไม่นาน ความสนใจของนางก็ถูกดึงดูดจากประสบการณ์ที่เฉินซีเผชิญมาตลอดในขณะที่ท่องไปทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากเรื่องส่วนตัวบางอย่างแล้ว เฉินซีแทบไม่ได้ปกปิดสิ่งใด และกล่าวถึงทุกสิ่งที่เขาได้ประสบตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่าไม่ได้อธิบายสิ่งใดมากเกินไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง

อย่างไรก็ตาม ไป๋หว่านฉิงฟังอย่างจริงจังและอุทานด้วยความประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง เพราะนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะประสบกับอุปสรรคมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับกำลังรับฟังตำนานเรื่องหนึ่ง

ตอนที่เขาอยู่ในแผ่นดินซ่ง ชายหนุ่มได้อันดับที่หนึ่งในการชุมนุมธารทอง ถูกไล่ล่าโดยตำหนักตะวันดำ จากนั้นก็เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลพร้อมกับฐานะอันดับหนึ่งของอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งราชวงศ์ซ่ง

ในสมรภูมิบรรพกาล เขาประสบกับอันตรายในทะเลบรรพกาล ต่อสู้กับศิษย์ชั้นสูงของราชวงศ์ต่าง ๆ และเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนซึ่ง ๆ หน้า จนทำให้เกิดการเดิมพันกับปิงซื่อเทียน…

ในช่วงเวลานี้ …มันเป็นคราแรกที่ไป๋หว่านฉิงเพิ่งรู้ถึงการกระทำอันน่าตกใจทั้งหมดที่เฉินซีได้ทำ ทั้งก่อนและหลังมายังแดนภวังค์ทมิฬ นางจึงได้รู้ว่าชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปทีละขั้นในแดนภวังค์ทมิฬ จนมีเกียรติยศและมีชื่อเสียงได้อย่างไร

ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงมีความแปลกใหม่และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำนานสำหรับนาง

หลังจากผ่านไปนาน ไป๋หว่านฉิงจึงสงบความรู้สึกของนาง และมองไปยังเฉินซีขณะที่กล่าวว่า “เจ้าคงประสบกับเหตุเลวร้ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้”

เฉินซีส่ายศีรษะ “นี่คือทุกสิ่งที่ข้าควรทำ”

ไป๋หว่านฉิงยิ้ม และนางถอนหายใจทันที เพราะหวนนึกถึงบางสิ่ง ก่อนที่จะครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดาของเจ้าเป็นการด่วน แต่ก่อนหน้านี้เจ้าต้องตระหนักให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ตระกูลจั่วชิวเป็นตัวตนแบบใด”

ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า “น้าไป๋ โปรดชี้แนะข้าด้วย”

“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าตระกูลจั่วชิวไม่ใช่กองกำลังจากภพมนุษย์ และดำรงอยู่ในภพเซียน” ไป๋หว่านฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ว่า “ภพเซียนนั้นใหญ่โตมหาศาลจนเกินจินตนาการของเจ้า และมันก็เป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดสิ้นสุดของภพเซียนอยู่ที่ใด เจ้าจึงสามารถจินตนาการได้ว่ามีกองกำลังมากมายเพียงใดในภพเซียน อาจกล่าวได้ว่ามีจำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายและหนาแน่นเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว”

เฉินซีฟังอย่างจริงจังและกลัวอย่างยิ่งที่จะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป

“แต่ไม่ว่าจะมีกองกำลังมากมายเพียงใด สุดท้ายแล้วมันก็มีความแตกต่างกัน และภพเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น ตระกูลจั่วชิวเป็นหนึ่งในสุดยอดตระกูลในหมู่พวกเขา และยังเป็นหนึ่งในกองกำลังที่เก่าแก่ที่สุดอีกด้วย”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ไป๋หว่านฉิงจึงได้อธิบายเปรียบเทียบอย่างชัดเจนมากขึ้น “ดูนี่สิ แดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยกองกำลังมากมาย แต่มันถูกควบคุมโดยสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่และหกนิกายอสูร แต่พวกเขาเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดหรือ? ไม่เลย เพราะยังมีสรวงสวรรค์สงบเงียบและแดนไร้นามอยู่ อีกทั้งยังมีตระกูลเก่าแก่เช่นตระกูลไป๋ของข้าที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้”

“สถานะของตระกูลจั่วชิวในภพเซียนนั้นเทียบเท่ากับสถานะของแดนไร้นามและสรวงสวรรค์สงบเงียบในแดนภวังค์ทมิฬ เจ้าสามารถจินตนาการได้ว่ากองกำลังของตระกูลจั่วชิวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เนื่องจากพวกเขาสามารถครอบครองฐานะดังกล่าวในภพเซียนได้”

เมื่อนางกล่าวถึงเรื่องนี้ ดวงตาของไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะเก็บอารมณ์ไว้เล็กน้อย “ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ จากที่ข้ารู้ ในประวัติศาสตร์ของตระกูลจั่วชิวมีราชันเซียนมากกว่าหนึ่งองค์ที่สามารถบัญชาลมฝน และกู่ร้องอย่างภาคภูมิไปทั่วทั้งสามภพได้!”

เฉินซีตกใจ แม้ว่าเขาจะยังไปไม่ถึงภพเซียน แต่ก็สามารถจินตนาการได้ว่า เนื่องจากตระกูลนี้สามารถยืนหยัดอยู่ในภพเซียนและขยายอำนาจออกไปได้ในระดับที่น่ากลัว ทรัพยากรและกองกำลังของตระกูลจั่วชิวต้องมีมากล้นเป็นแน่!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ราชันเซียน’ หัวใจของเฉินซีอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ราชันเซียนท่ามกลางเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนต้องครอบครองความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นใดจึงจะได้รับเกียรตินี้?

เฉินซีไม่อาจจินตนาการได้และไม่กล้าจินตนาการถึงมัน เพราะทั้งหมดนี้เกินขีดความรู้ของเขา

ถึงอย่างไร เขาก็ยังไปไม่ถึงภพเซียน และตอนนี้ตัวเขาเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ซึ่งยังห่างไกลจากขอบเขตดังกล่าวอย่างมาก

ไป๋หว่านฉิงมองไปยังชายหนุ่มและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าตระกูลจั่วชิวไม่ใช่จ้าวผู้ปกครองของภพเซียน และไม่ใช่ว่าจะไม่มีกองกำลังใดที่ไม่สามารถต่อต้านตระกูลจั่วชิวได้”

เฉินซีรู้ว่าไป๋หว่านฉิงกำลังปลอบโยนเขา ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาสงบเช่นเดิม แล้วจึงกล่าวว่า “น้าไป๋ เชิญว่าต่อเถิด ข้าเตรียมใจไว้นานแล้ว”

แววตาของไป๋หว่านฉิงฉายชัดถึงความพึงพอใจ จากนั้นนางก็พยักหน้าและกล่าวว่า “จริงสิ เมื่อหลายปีก่อนทุกคนในเมืองหมอกสนเยาะเย้ยเจ้า แต่ใครจะคาดคิดว่าหลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่สิบปีมานี้ เจ้าจะบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้? ถึงอย่างไร ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้าเอง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]