บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 933

บทที่ 933 สำนักไพรคราม

บทที่ 933 สำนักไพรคราม

เมืองหมอกสนเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ซึ่งดูราวกับว่ามันจะกลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งในดินแดนทางตอนใต้ไปแล้ว

ซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากตระกูลเฉิน

แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่กล่าวว่า ตระกูลที่มีเกียรติสูงที่สุดในแผ่นดินซ่งทั้งหมดย่อมคือตระกูลเฉินเมืองหมอกสนอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่เป็นชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ที่มีเพียงตระกูลเฉินเท่านั้นที่สมควรได้รับ

ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดน และเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้ายามเที่ยงวันนั้น เกือบจะถูกทำลายล้างไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว

ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ที่ทุกคนได้แต่อุทานด้วยความชื่นชม และคนที่สร้างปาฏิหาริย์นี้คือพี่น้องที่มีชื่อเสียงของตระกูลเฉิน… เฉินซีและเฉินฮ่าว!

ในวันนี้ ชายหนุ่มควบขี่ลาสีดำมาถึงเมืองหมอกสน เขาเดินช้า ๆ ไปตามท้องถนนและมาถึงที่เบื้องหน้าจวนตระกูลเฉินโดยไม่รู้ตัว

เขายืนอยู่ที่นี่และจ้องมองจวนขนาดใหญ่เงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหลังและจากไป

ภายในโรงน้ำชา เสี่ยวเอ้อร์กำลังรินน้ำชาด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถัน ในขณะที่นักเล่านิทานกำลังเล่าเรื่องราวด้วยความเพลิดเพลิน แขกเหรื่อต่างเข้าออกดุจสายน้ำ ทำให้ที่นั่งในโรงน้ำชาเต็มไปหมด และดูคึกคักอย่างมาก

ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียวและจิบชาเงียบ ๆ แต่ส่วนใหญ่เขากำลังฟังตำนานเรื่องราวที่ขับขานโดยนักเล่านิทาน

ชาวเมืองหมอกสนเคยได้ยินตำนานเรื่องราวนี้มาเป็นเวลาหลายปีและนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังสามารถเรียกคำชมจากผู้คนได้ทุกครั้งที่นักเล่านิทานเล่าเรื่อง

เหตุผลก็คือตัวละครหลักของตำนานเรื่องราวนี้คือเฉินซี มันเริ่มต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ที่ชายหนุ่มคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนได้อย่างไร เขาคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศในการชุมนุมธารทองได้อย่างไร คว้าอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งได้อย่างไร หรือเฉินซีสร้างชื่อให้แก่ตนเองจนเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าได้อย่างไร และวีรกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย

ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นตำนานเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดในหมู่นักเล่านิทาน

ชายหนุ่มฟังด้วยความสนใจอย่างมากเช่นกัน และสีหน้าของเขาก็ไม่แตกต่างจากแขกเหรื่อคนอื่น ๆ มากนัก

“พ่อหนุ่ม ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่มาพบข้าเล่า” เมื่อนักเล่านิทานกำลังจะเล่าจบ เสียงอันแผ่วเบาและสูงวัยได้ดังก้องข้างหูของชายหนุ่มผู้นั้น

ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือไว้แต่ไกล ๆ ด้วยท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเปี่ยมด้วยกิริยาที่สุภาพเรียบร้อย

การกระทำที่แปลกประหลาดนี้ได้เรียกความสนใจของผู้คนมากมายในโรงน้ำชาทันที

ชายหนุ่มดูจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้เลย เขายกมือขึ้นก่อนจะวางขวดหยกลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนักเล่านิทาน “เรื่องราวน่าสนใจยิ่ง นี่คือคำขอบคุณจากข้า โปรดรับมันด้วยเถิด”

ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวจบ เจ้าตัวก็หันหลังและออกจากโรงน้ำชาไป

การกระทำเหล่านี้ทำให้ทุกคนในโรงน้ำชาตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็จ้องมองไปยังขวดหยกบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน ขวดหยกนี้ยาวเพียงสี่ชุ่นและมีสีขาวดุจหยก

“ขอข้าดูหน่อยว่ามีสิ่งใดอยู่ในขวดเล็ก ๆ นี้บ้าง” ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าและหยิบขวดหยกขึ้นมาโดยตรง ทันทีที่เขาเปิดฝาเล็ก ๆ ออก กลิ่นสดชื่นและหอมหวานพลันลอยฟุ้งออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถแทรกซึมเข้าสู่ดวงวิญญาณของคนได้

ทันใดนั้น โรงน้ำชาที่เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ก็เงียบลง ในขณะที่ทุกคนแสดงอาการมึนเมาออกมา ร่างกายของพวกเขาสดชื่น รู้สึกราวกับว่ามีน้ำพุใสกระจ่างชำระล้างทั้งร่างกายและจิตใจ

ปฏิกิริยาของนักเล่านิทานนั้นรวดเร็วที่สุด เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดันและคว้าขวดหยกเอาไว้ ก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงกลัวอย่างยิ่งที่จะทำให้ขวดแตก

“ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน ขายขวดหยกนี้ให้ข้า!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นฟื้นจากอาการตกใจเช่นกัน และความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าตัว ในขณะที่ตบกระเป๋าเก็บของบนโต๊ะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ไม่ขาย!” นักเล่านิทานส่ายหน้าอย่างหนักแน่น แม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่ามีสิ่งใดอยู่ในขวดหยก แต่นักเล่านิทานเชื่อมั่นว่ามันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน

“ศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อน!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นตกตะลึง จากนั้นเขาก็กัดฟันก่อนจะกล่าวอีกครั้ง

นักเล่านิทานยังคงส่ายหน้า เพราะปฏิกิริยาของผู้บ่มเพาะทำให้เขาเข้าใจความล้ำค่าของขวดหยกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“มารดามันเถอะ! เจ้าอย่าได้โลภเกินไป! อย่าบังคับให้ข้าใช้กำลัง!” ผู้บ่มเพาะคนนั้นเลิกเสแสร้งทั้งหมดและกล่าวอย่างดุร้าย

“ถ้าเจ้าแน่จริงก็ลงมือซะ!” นักเล่านิทานไม่กลัวแม้แต่น้อย เขากล่าวเสียงดังว่า “แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง นี่คือเมืองหมอกสน เจ้ากล้าเพ้อฝันถึงการมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ? ในเมื่อเจ้าฆ่าข้าแล้ว!”

ผู้บ่มเพาะคนนั้นตกตะลึง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด ก่อนจะถ่มน้ำลายรดพื้น จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปด้วยความเดือดดาล

มันช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือเมืองหมอกสน และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่กล้าสร้างปัญหาที่นี่ เพราะตระกูลเฉินตั้งรกรากอยู่!

เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเล่านิทานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ และมันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้มาจากการเป็นผู้อาศัยในเมืองหมอกสน

ภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ณ ริมฝั่งของเกาะที่ใจกลางทะเลสาบ

ชายหนุ่มเดินบนน้ำที่ใสดุจผลึกของทะเลสาบด้วยท่าทางสบาย ๆ และเสื้อผ้าของเขาก็พลิ้วสยายตามแรงลม ในขณะที่ตัวคนดูจะไร้ความกังวล

“ผู้ใดกล้าบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของตระกูลข้า!” จู่ ๆ ร่างกำยำสูงใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่เกาะ และมองดูชายหนุ่มจากระยะไกลพร้อมกับประกาศคำเตือน

คนผู้นี้คือเด็กหนุ่มตัวสูงที่มีคิ้วดกหนา ดวงตากลมโต ดูกล้าหาญแกร่งกล้า อีกทั้งมีกลิ่นอายที่ดุร้ายและรวดเร็ว

“คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก” ในเวลาเดียวกัน มีร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของเด็กหนุ่มคนนี้

เจ้าของร่างนี้คือเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมกริบเหมือนใบกระบี่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายดวงดาว มีรูปร่างที่สง่างาม กิริยาท่าทีสำรวมนิ่งสงบ ซึ่งขับเน้นให้เจ้าตัวดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]