บทที่ 983 จิตวิญญาณการต่อสู้อันลุกโชน
บทที่ 983 จิตวิญญาณการต่อสู้อันลุกโชน
ณ น่านน้ำไร้ผ่าน
หลังจากข้ามผ่านทะเลอันกว้างใหญ่นี้แล้ว จะต้องเดินทางต่ออีกสามชั่วยามเพื่อไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลทุกข์
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแนวป้องกันสุดท้ายที่ราชาฉู่เจียงสร้างขึ้น…” ภายในห้องโดยสารของเรือเหาะสมบัติ เฉินซีกำลังใช้ความคิดตรึกตรองก่อนเอ่ยขึ้น “ข้ามีความรู้สึกว่าราชายักษาเหยียนถูอาจจะปรากฏตัวที่แนวป้องกันสุดท้าย และพวกเราคงได้เผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่”
“ตามตำนานเล่าขานกันว่า น่านน้ำแห่งนี้เป็นบริเวณที่มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงระหว่างจักรพรรดิยมโลกที่สาม เทพเซียน และบรรดาพุทธองค์ทั้งหลายเมื่อนานปีมาแล้ว มันเป็นสถานที่ซึ่งคล้ายเหวลึกไร้ก้นบึ้ง อันเต็มไปด้วยข้อจำกัดบรรพกาลมากมาย บางครั้ง มันก็ถูกขนานนามว่าสุสานแห่งเทพเซียน” เป้ยหลิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะที่รินชาลงในจอก “มันมีทั้งสนามแม่เหล็กและกระแสน้ำวนที่รุนแรง เรียกได้ว่าอันตรายไม่น้อย หากเจ้าอยากจะผ่านมันไปก็ต้องระมัดระวังไว้เป็นพิเศษ” นางพูดอย่างใจเย็น
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซีพยักหน้า เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเป้ยหลิงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่จริงแล้ว ตอนนี้ข้ากังวลเพียงเรื่องเดียว”
เป้ยหลิงร่างแข็งทื่อพลางตีหน้าขรึม “เจ้ากังวลสิ่งใด?”
เฉินซียิ้มให้กับท่าทางของนาง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้ากังวลว่าเจ้าจะไม่สนใจสิ่งใดเลยและเอาชีวิตไปเสี่ยง”
“เอ่อ…” หญิงสาวจ้องไปยังชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและปากที่ไร้คำพูดใด ๆ
เพราะนางคิดจะทำอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ตอนที่พวกเขาเข้ามาในทะเลทุกข์ก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากนัก ตลอดทางที่ติดตามเฉินซี คล้ายตัวนางจะเป็นภาระเสียมากกว่า
และยิ่งพวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทุกข์มากเท่าไร ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงก็ยิ่งชัดเจนกระจ่างใจ มันทำให้นางอดหงุดหงิดไม่ได้ ถึงขนาดที่รู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องล่าช้า
ความรู้สึกเหล่านี้ผลักดันให้นางตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง ขอเพียงแค่ให้ได้ทำตัวมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างเท่านั้น
แต่เป้ยหลิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะมองเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจอย่างทะลุปรุโปร่ง นั่นทำให้นางนึกอึดอัดไม่น้อย
“จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เจ้าต้องฟังข้า นี่เป็นคำขอเดียวที่ข้าจะขอเจ้า” เฉินซียืนกรานหนักแน่น
เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อ “เพราะเหตุใดกัน? หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้ารำคาญใจ?”
เฉินซียิ้มเจื่อนพลางลูบจมูกตัวเอง “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น”
เป้ยหลิงถามต่อ “เช่นนั้น เจ้าคิดอย่างไร?”
สิ้นคำพูด นางก็นึกโกรธตัวเองอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกลายเป็นเด็กน้อยผู้เอาแต่ใจและไร้เหตุผล เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนอย่างนางเลยจริง ๆ
ใบหน้าอันเยือกเย็นมุดลงต่ำโดยไม่รู้ตัว
โดยปกติแล้ว สตรีผู้เยือกเย็นนี้มักจะดำรงตนอย่างสุขุม สง่างามและผ่าเผยเป็นนิจ ทว่านางในยามนี้กลับเผยให้เห็นถึงแววประหม่า เกิดเป็นภาพที่ซุกซ่อนเสน่ห์อันงดงามไว้ภายใน
เฉินซีชะงักเมื่อได้ยินคำถามที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าคิดว่าคุณค่าของทุกสิ่งในโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรือธรรมเนียม ค่านิยมใด อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่ใช่เครื่องหมายแห่งมิตรภาพแต่อย่างใด เป้ยหลิง เจ้าช่วยเหลือข้ามาเยอะมากแล้ว อย่าได้คิดว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์เด็ดขาด!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินซีพลันนึกถึงภาพในอดีตขึ้นมา ภาพในห้วงคำนึงของเขาคือสหายทั้งหลายในแผ่นดินซ่ง ชายหนุ่มนึกถึงเจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน หลิงอวี๋และคนอื่น ๆ นอกจากนี้เขายังคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ หั่วโม่เลย รวมไปถึงคนอื่น ๆ บนยอดเขาจรัสตะวันตกอีกด้วย
“ทั้งผลประโยชน์ ฐานันดร ต้นกำเนิด และความแข็งแกร่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้ามองข้ามทั้งสิ้น คำว่าสหายสำหรับข้านั้น คือคนที่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้อย่างอิสระ ทำในสิ่งที่ต้องการยามร่วมทุกข์ร่วมสุข จริงอยู่ที่ความคิดเช่นนี้ดูไร้เดียงสาและน่าขันในบางที แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง”
เป้ยหลิงนั่งฟังเงียบ ๆ ขณะที่ดวงตาของนางเปล่งประกายอันซับซ้อนออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้นเราก็คือสหายกัน”
“แน่นอน” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเกียรติของข้าที่ได้เป็นสหายกับยอดราชันแห่งขอบเขตเซียนปฐพี” เป้ยหลิงแสร้งแหย่เย้า เสียงหัวเราะรื่นหูดังออกมาจากริมฝีปากแดงสด การเคลื่อนไหวของนางประหนึ่งดอกไม้แย้มบานหลังวันฟ้าหม่น ช่างงดงาม แช่มช้อย และส่องประกาย
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าลับหลังนั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจเบา ๆ ที่ดังกึกก้องอยู่ภายในใจ คำตอบของเขาทำเอานางเกือบเสียศูนย์ สหายหรือ? สุดท้ายก็เป็นได้เพียงสหายอย่างนั้นสินะ…
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นได้บังเกิดเสียงฟ้าคำรามแผดลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ มันสร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่หมู่เมฆก่อนจะกลายเป็นสายฟ้าฟาดซัดสาดกระจายออกไป ทำให้โลกที่มืดสลัวพลันสว่างไสวงดงาม
ขณะเดียวกันนั้นเอง คลื่นความผันผวนที่มีแรงกดดันมหาศาลก็กระแทกเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว
เรือเหาะสมบัติเริ่มสั่นโคลงเคลงอย่างรุนแรงราวกับว่ามันกำลังเผชิญหน้ากับวังน้ำวนที่อัดแน่นไปด้วยภยันตราย จนเกิดเป็นเสียงเกรียวกราวประหนึ่งจะพังครืนเสียให้ได้
เฉินซีตกตะลึง เขาลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะพุ่งตัวออกไปจากเรือเหาะสมบัติพร้อมกับเป้ยหลิง
ท่ามกลางแผ่นฟ้าที่ค้ำหัวพวกเขาอยู่นั้น พายุลูกมหึมากำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาทั้งสองไม่ต่างกับจอกแหนที่ล่องลอยกลางผืนสมุทร เพียงกระแสลมพัด ก็พร้อมจะถูกพัดพาให้หายไปในชั่วพริบตา
“นี่คือน่านน้ำไร้ผ่าน…” ริมฝีปากแดงระเรื่อของเป้ยขยับเป็นคำสั้น ๆ ขณะที่ทอดมองออกไปในระยะไกล
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ดวงตาของเขาเหมือนกับสายฟ้าที่สาดแสงไปทั่วทั้งฟ้าดินขณะที่พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูนั่นสิ ศัตรูของเรามาคอยท่าอยู่นานแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...