“งานเลี้ยงในคราวนี้มีภัยร้ายซ่อนอยู่! เย่หยวน เจ้าห้ามไปงานเลี้ยงเด็ดขาด!”
หยางรุยกล่าวสีหน้าเคร่งเครียด
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หยางรุยกับเย่หยวน ทั้งคู่ต่างได้รับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงถึงมือ
ซึ่งคำเชิญทั้งสองใบนี้ออกโดยท่านเจ้าเมือง
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มอิทธิพลทั้งสี่สู้รบปรบมือมาแสนนาน ทว่าฝ่ายเจ้าเมืองยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง
แต่ครั้งนี้ในที่สุด ฝ่ายเจ้าเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ทว่าเย่หยวนกลับได้รับคำเชื่อจากเขาด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้หยางรุยไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เย่หยวยยิ้มและกล่าวว่า
“แน่นอนว่าควรไป เหตุใดข้าถึงจะไม่ไปกัน? เป้าหมายของพวกนั้นคงหนีไม่พ้นโอสถบ่มเพาะปราณ หากข้าไม่ไป เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่มีวันจบ”
หยางรุยทราบโดตธรรมาชาติว่า จุดประสงค์ของคนพวกนั้นคือโอสถบ่มเพาะปราณ แต่หากเย่หยวนยังคงยืนยันที่จะไป นี่มิวิตกกังวลมิได้เลยจริงๆ
ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ เขาคนเดียวไม่สามารถปกป้องเย่หยวนได้แน่
“ข้าทราบ แต่…ข้ากลัวว่าคำเชื้อนี้กลับเป็นกับดัก!”
หยางรุยกล่าว
“ไม่มีทาง? ต่อให้เจ้าเมืองเชื้อเชิญข้าเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขาจะใจกล้าลงมือเบ็ดเสร็จกับข้าเลยกระมัง? กลการณ์ทางการเมืองหาได้ทางตรงเช่นนั้น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยถามพลางฉงนใจ
หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
‘เจ้าไม่รู้อะไร พี่ชายของหวังซูที่มาจากตระกูลหลักจบจากสถานศึกษาหวูเมิ่งที่เดียวกับเจ้าเมืองเฉินหย่งหนาน ก่อนที่เจ้าจะออกจากการเก็บตัวครั้งล่าสุดเอง เจ้าเมืองก็ใช้เล่ห์กลขัดขวางเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นเจตนาที่เชิญเจ้าในคราวนี้ค่อนข้างชัดเจนพอแล้ว”
เย่หยวนขมวดคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยิน กล่าวตอบว่า
“หรือท่านกำลังจะบอกว่า พวกมันทั้งหมดล้วนสมรู้ร่วมคิดกัน? โดยมุ่งเป้าหมายมาทางเรา?”
หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า
“หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียก่อน ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแน่! เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ควรไปเด็ดขาด!”
ความซับซ้อนของสถานการณ์ภายในเมืองกุยฉางในยามนี้ ค่อนข้างเกินความคาดหม่ายของเย่หยวนนัก
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งนี้กลับไม่สามารถทำให้เย่หยวนตกใจได้แม้แต่น้อย
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ในเมื่อพวกมันขี่หัวเราอยู่แล้วก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน ต่อให้ไม่ไปวันนี้ วันหน้าพวกมันก็จะกลับมาและก่อปัญหาให้อีกในภายหลัง แทนที่จะรอให้เป็นแบบนั้น สู้ใช้โอกาสเผชิญหน้ากลางโต๊ะไปเลยดีเสียกว่า”
หยางรุยกล่าวสวนด้วยสีหน้าเปี่ยมวิตกยิ่ง
“สวรรค์ ไฉนเจ้าถึงหัวรั้นแบบนี้กัน? เจ้าเมืองเฉินหย่งหนานเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แถมยังมีพวกลิ่วล้ออีกสามตระกูลใหญ่ค่อยสนับสนุน หากพวกมันทั้งหมดลงมือพร้อมกัน ข้าก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เช่นกัน!”
เย่หยวนเอ่ยหัวร่อคิกคักและกล่าวว่า
“ท่านประมุขหอกังวลเกินไปแล้ว แม้สายสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีอยู่บ้าง แต่ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเมืองไม่มีทางเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามขนาดนั้นแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งของเขากลับมิได้เล็กน้อยเลย ทำอะไรไม่คิดกลับเสี่ยงเกินไป”
……………………….
เมื่อเกลี้ยกล่อมเย่หยวนไม่สำเร็จ หยางรุยต้องจำใจพาเขาไปในที่สุด
เขาหวังได้เพียงว่าเฉินหย่งหนานจะครั่นคร้ามในบารมีของหอมหาสมบัติอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือกับเย่หยวนในวันนี้
ณ โถงใหญ่ใจกลางตำหนักเจ้าเมือง สถาปัตย์การออกแบบทั้งเริดหรูและโอ่อ่าเกินพรรณนา
เจ้าเมืองหน้าตายังหนุ่มยังแน่นอยู่บนที่นั่งอันทรงเกียรติพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างตลอดเวล ราวกับเขาผู้นี้เป็นมิตรกับทุกคน
หลังจากดื่มไปสองสามจอก เฉินหย่งหนานก็เอ่ยปากเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นทันที
“ขอบใจทุกท่านที่มาเป็นหน้าเป็นตาของเราเจ้าเมืองคนนี้ การที่ทุกกลุ่มอิทธิพลอย่างพวกท่านมารวมตัวกันในตำหนักเจ้าเมือง นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวประดุจเสาหลักแห่งเมืองกุยฉางของเรา ไม่มีฝักฝ่ายใดเป็นปฏิปักษ์กัน คงเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว พวกท่านว่าจริงหรือไม่?”
สายตาที่จับจ้องของเฉินหย่งหนานกวาดกว้างมองหน้าทีละคน ซึ่งนี่กลับสร้างแรงกดดันให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก
แม้แต่หยางรุยเองก็รู้สึกดดันอย่างมากเช่นกัน
“ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้องแล้ว!”
อดีตประมุขตระกูลหลู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ถูกต้อง! ถูกต้องที่สุด! ดั่งคำกล่าวที่ว่า มิตรภาพสร้างเสถียรภาพความมั่นคั่ง! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
อดีตประมุขตระกูลหลินเห็นชอบไม่ต่าง
แต่หวังซูกลับคลี่ยิ้มบางๆและกล่าวว่า
“ท่านพี่เฉินกล่าวถูกต้อง เมืองกุยฉางเป็นของทุกคน หามิใช่ครอบครัวเดียวกัน นั้นคงเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่นัก!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...