จอมเทพโอสถ นิยาย บท 1362

จอมเทพโอสถ – ตอนที่ 1362 เปล่าประโยชน์
ตอนที่ 1362 เปล่าประโยชน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในโถงรับรองของตระกูลฉิน ชายวัยกลางคนและชายหนุ่มอีกคนกำลังนั่งเสวนากันอยู่ ในตำแหน่งที่นั่งของเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน

ชายวันกลางกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า

“หลานผู้ทรงเกียรติ ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก!”

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกและรีบกล่าวตอบทันที

“ถูกต้องแล้ว กลับเป็นหลานคนนี้เองที่ใจร้อนเกินไป! หลานคนนี้เฝ้าห่วงแต่เรื่องแก้แค้นแทนน้องชาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกหอมหาสมบัติเองก็เคลื่อนไหวแก้ทางได้ไวขนาดนี้เช่นกัน พวกนั้นกลับบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองก่อน! จึงเป็นข้าที่ทุบหินใส่เท้าตัวเองแทน!”

ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเย็นกล่าวตอบว่า

“โอสถท้าทายสวรรค์เช่นนี้ พวกหอมหาสมบัติไม่มีทางขายให้แก่ภายนอกแน่นอน แต่จะรวบหัวรวบหางกินผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวได้นานเพียงใดกัน? ช่างเถอะ หวังว่าความอัปยศในครั้งนี้จะขัดเกลาให้เจ้ารอบคอบขึ้น กลับไปขยันบ่มเพาะฝึกปรือให้มากกว่านี้ ด้วยความเพียรของเจ้า เจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สังกัดสวรรค์ในเร็วๆนี้!”

ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าวตอบทันทีว่า

“หลานคนนี้จะตั้งใจฝึกปรืออย่างหนัก! ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านลุงฉิน!”

ชายวัยกลางคนผู้นี้คือ ฉินหนานเทียน ประมุขตระกูลฉินรุ่นปัจจุบัน ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก หวังซ่ง!

หากกล่าวอธิบายให้เข้าใจง่าย หวังซ่งผู้นี้มีความสำคัญต่อฉินหนานเทียนเช่นกัน เขาสามารถพิชิตใจบุตรสาวของฉินหนานเทียนได้อย่างฉินเป่ยหยางในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ในตอนนี้…หวังซ่งถือว่ามีศักดิ์เป็นลูกเขยตระกูลฉินอยู่ครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ความแกร่งกล้าของเขาก็มิใช่ธรรมดาทั่วไป เขาทะลวงขึ้นเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายแล้ว บุคคลระดับนี้นับว่ามีคุณค่าสำหรับตระกูลฉินอยู่บ้าง

แม้ตระกูลหวังจะทรงอิทธิพล แต่นั่นก็แค่ภายในเขตเมืองหมิงหยางและเคียงข้างเท่านั้น

ต่อหน้าตระกูลฉิน ที่เป็นระดับขั้วอำนาจแห่งเมืองหลวงหวูเมิง กล่าวได้ว่าเทียบไม่ติดฝุ่น!

ภายในตระกูลฉิน ไม่เพียงจะมีจำนวนยอดฝีมือมากมายพอๆกับมวลเมฆบนน่านนภา แต่สถานะศักดิ์ยังถือเป็นจุดสูงสุดแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่งอีกด้วย ทั้งยังมีธุรกิจตระกูลฉินที่ครอบคลุมไปทั่วเมืองหลวง

ตระกูลหวังไม่มีค่าพอที่จะอวดอ้างต่อหน้าตระกูลฉินได้เลย

เมื่อสามารถสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฉินได้ อนาคตของหวังซ่งย่อมสดใสไร้ขีดจำกัด

หากย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาประสบความสูญเสียอย่างหนักต่อหน้าเซียวเฟิ้ง ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ โดยการแจ้งเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณให้แก่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง

เพียงว่าแผนการที่เขาเตรียมไว้อย่างรัดกุมนี้ กลับต้องพังลงไม่เป็นท่า เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ฝ่ายหอ มหาสมบัติจะบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองอยู่ก่อนแล้ว

ข่าวที่เขาส่งไปมิเพียง ไม่อาจสร้างปัญหาให้แก่หอมหาสมบัติใดๆได้เลย แต่ผลเสียกลับตกมาที่เขาแทน ทั้งหวังซ่งและเฉินหย่งหนานต่างถูกให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ที่ดำรงอยู่ และย้ายพวกเขากลับมาที่สถานศึกษาหวูเมิ่งดังเดิม

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมาแสดงความเคารพต่อฉินหนานเทียนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อกลับถึงเมืองหลวงหวูเมิ่งหวังซ่งดำรงตำแหน่งรองเจ้าเมืองหมิงหยางในนามของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ในท้ายที่สุดเขายังคงเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่ง

สิ่งที่หวังซ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ เย่หยวนเคยให้หยางรุยส่งสาสน์ไปเตือนหอมหาสมบัติแล้วคราวหนึ่ง โดยเย่หยวนต้องการให้หอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวู่เมิ่ง เข้าไปทำข้อตกลงพร้อมแบ่งส่วนกำไรให้แก่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง นอกจากนี้พวกเขายังต้องมอบโอสถบ่มเพาะปราณ เพื่อเป็นการสนับสนุนฝ่ายเจ้าเมืองอีกด้วย

เมื่อฟ่านเทียนรับทราบเนื้อความภายในสาสน์นี้ เขาก็เดินหน้าตรงเข้าไปทำข้อตกลงกับฝ่ายเจ้าเมืองโดยทันที สิ่งที่น่าขันที่สุดก็คือ หวังซ่งกลับไม่ต่างจากน้องชายมันเลย หลงตัวเองคิดว่าฉลาด ทว่าท้ายที่สุดกลับยกหินทุ่มใส่เท่าตัวเองเสียได้

“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ หยางเอ๋อกำลังรอเจ้ากลับมาอยู่นานแล้ว!” ฉินหนานเทียนเอ่ยปากกล่าวขึ้น

“หลานคนนี้ขอลา…” หวังซ่งลุกขึ้นและกล่าวลา

แต่ในขณะที่หวังซ่งกำลังจะหมุนตัวกลับและจากออกไป จู่ๆเขาพลันสะดุ้งเฮือกราวกับเห็นผี ได้มีสาวน้อยนางหนึ่งผู้มีใบหน้าบวมช้ำดั่งหัวหมูวิ่งกรูเข้ามา

“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว! ฮือๆ…ฮือๆ… ข้าอยากตาย! อวี่เอ๋อไม่มีหน้าออกไปพบใครอีกแล้วในอนาคต!”

“อ-อวี่…อวี่เอ๋อ?”

หวังซ่งยืนตัวแข็งทื่อไปเกือบหลายอึดใจ ก่อนจะนึกออกว่าสาวน้อยนางนี้คือใคร

พินิจจากทรวดทรงโค้งเว้าพราวเสน่ห์คล้ายผู้พี่ กับชุดแพรพรรณคุ้นตา ยังเป็นใครได้อีกหากมิใช่ฉินเป่ยอวี่?

เพียงว่า…ไฉนใบหน้าของนางถึงบวมเละเป็นหัวหมูได้ขนาดนี้? คนลงมือมิใช่ว่าเสียสติไปแล้ว?

ฉินหนานเทียนมีบุตรสาวตอนอายุมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับพวกนางเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับฉินเป่ยอวี่

เมื่อเห็นนางมีสภาพแบบนี้ เพลิงพิโรธพลันโหมปะทุขึ้นทันทีและโพล่งกล่าวขึ้นลั่นว่า

“อวี่เอ๋อ ใครมันกล้าตบตีเจ้าจนเป็นแบบนี้?!”

ใบหน้าของนางถูกตบซะจนหนังกำพร้าลอกฉีกเป็นแผลเหวอะ เห็นเป็นน้ำหนองสีเหลืองคราบแห้ง หากมิใช่เพราะแพรพรรณสีเหลืองที่บุตรสาวสวมอยู่เป็นประจำ ฉินหนานเทียนไม่มีทางจำได้เลยว่านี่คือลูกสาวตัวเอง

“มัน…มันเป็นฝีมือของไอ้บ้านนอกนั้น! ฮึกๆ..ฮึกๆ… ท่านพ่อต้องล้างแค้นให้อวี่เอ๋อ!”

ฉินเป่ยอวี่ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด ถึงพยายามเอ่ยถามนางเป็นเวลานาน แต่นางก็เอาแต่ร่ำไห้พูดไม่เป็นภาษา

สีหน้าการแสดงออกของฉินหนานเทียนมืดลงทันใด เขาตะโกนขึ้นลั่น…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ