“ซิ่วเหล่ยเจ้าโง่! กลับทำเรื่องเล็กให้ล้มเหลวได้! เพื่อประโยชน์ในวันนี้ เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะของเราอุตส่าห์เตรียมการวางแผนมาหลายสิบปี! ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบความผิดในคราวนี้ได้ไหวเป็นแน่! ท่านเจ้าเมืองไม่ยอมฟังข้อแก้ตัวแน่นอน! อ๊ากกก! เจ้าทำให้เราชายชราโมโหเจียนตาย!”
แม่ทัพใหญ่คำรามลั่นด้วยความโกรธ
เหล่าผู้ใต้บัญชาทุกคนต่างปิดปากเงียบสงัดดั่งจักจั่นในฤดูหนาว แต่ละคนไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดออกมา
แม่ทัพใหญ่ยามนี้เดือดพิโรธจัด ไม่เห็นแก่หน้ามิตรสหายคนใดอีกแล้ว
“ท่านแม่ทัพใหญ่ มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เราสามารถบุกโจมตีได้ หากโชคดีพอ ขอเพียงส่วนหางข้ามหุบเขาอัญเชิญปีศาจมาได้ พวกเราย่อมได้เปรียบ ทางเหนือของพวกมันมีปราการป้องกันอ่อนแอมากกว่าทางใต้นัก ตราบใดที่พวกเราลำเลียงกำลังเข้าไปอีกฝ่ายได้มากพอ ย่อมสามารถบุกยึดเมืองได้ไม่ยาก!”
ปีศาจตนนี้ที่เอ่ยปากกล่าวขึ้นเป็นกุนซือที่น่าเชื่อถือที่สุดของแม่ทัพกอง ในเวลานี้มีเพียงเขาตนเดียวที่กล่าวเอ่ยปากเสนอแนะ
แม่ทัพกองสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามสงบสติอารมณ์ลง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ไอ้โง่นี่ คล้อยหลังยึดเมืองมาได้ แล้วบิดาผู้นี้จักสั่งสอนให้สักบทเรียน! ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เคลื่อนทัพเข้าโจมตีเมืองทันที!”
“รับทราบ!”
ทันทีที่อม่ทัพสั่งการ พวกเขาต่างรับบัญชาและแยกย้ายออกไปทันที
…
ในเวลาเดียวกัน ภายในตำหนักเจ้าเมืองกระแสพิรุณ แม่ทัพใหญ่หวังและผู้บัญชาการกัวชางหมิงเข้ารายงานสถานการณ์ทั้งหมดที่จ้าวปิงเอ่ยอธิบายมาทันที
จ้าวปิงพยายามข่มกลั้นอาการบาดเจ็บและเล่าเรื่องราวทั้งหมดในป่าทึบให้ฟัง จากนั้นก็เงียบลง
กัวชางหมิงสงบนิ่งดุจภูผาทว่าสีหน้ากลับดูไม่มีความสุขนัก เขากล่าวเสียงโศกขึ้นดังว่า
“เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
แม่ทัพใหญ่หวังหรือหวังอี้เฟินครุ่นพินิจไตร่ตรองเรื่องนี้มานานแล้ว ยามนี้เอ่ยตอบทันทีว่า
“คำกล่าวของจงเต๋าเองก็มิได้ไร้เหตุผลเช่นกัน เผ่าปีศาจมากเล่ห์หลากกลลวง พวกเราเคยพลาดท่าให้มันกับเรื่องเช่นนี้ก็ไม่น้อย มีความเป็นไปได้ว่า พวกมันจงใจปล่อยข่าวลวงออกไปให้เราตีโพยตีพายกันไปเอง เพื่อกระจายกำลังทหารของเราออกไป แต่…ในขณะเดียวกัน ข้าก็รู้สึกว่า เราจำต้องระวังเช่นกัน!”
เมื่อจ้าวปิงได้ยินเช่นนั้น ก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กัวชางหมิงเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องนี้รอจนกว่าเหลียงเฟิงจะกลับมายืนยันก่อนเป็นดีที่สุด อย่างไรก็ตาม กองกำลังที่สามของเจ้าเข้าป้องกันเมืองทางใต้ไปก่อนชั่วคราว ท้ายที่สุดนี้ประตูเมืองทางทิศใต้นับเป็นจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญ!”
หวังอี้เฟินพยักหน้า
“รับทราบ!”
แต่ทันใดนั้น พลันมีผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามารายงานสถานการณ์เป็นทันด่วน
“ท่านแม่ทัพใหญ่แย่แล้ว! กองทัพของเผ่าปีศาจบุกประชิดตีล้อมอยู่รอบกำแพงเมืองแล้ว!”
เคลื่อนทัพมาเร็วมาก!
เมื่อรับทราบข่าวดังนั้น สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก
การมาถึงของเผ่าปีศาจเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และไม่มีสัญญาณใดๆแจ้งออกมาก่อนเลย!
กัวชางหมิงเอ่ยถามเสียงขรึมว่า
“พวกมันมีเท่าไหร่?”
ผู้ใต้บัญชากล่าวตอบว่า
“รอบนี้เป็นทัพใหญ่มีจำนวนเกินคนานับ เบื้องต้นเท่าที่คาดการณ์มีจำนวนไม่น้อยกว่าสามหมื่น!”
ฟู่วว….
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจเสียงเย็นแช่ม
กองกำลังกว่าสามแสน ศึกสัประยุทธ์ใหญ่ขนาดนี้มิได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว
ดูเหมือนว่าคราวนี้ เผ่าปีศาจจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี!
เซียนระดับสูงภายในเมืองกระแสพิรุณมีประมาณแปดหมื่นคนเห็นจะได้ แต่เผ่าปีศาจทมีอย่างน้อยสุดสามแสน นับเป็นตัวเลขความแตกต่างที่น่ากลัวเกินไป!
“สั่งการลงไป! ระดมทักศึกทั้งหมดให้พร้อมและรอคำสั่ง! หวังอี้เฟิง เจ้าแบ่งกองทหารหน่วยของตนไปยังทิศเหนือออกไปครึ่งหนึ่งเข้าเฝ้าระวัง! ส่งม้าเร็วเดินทางไปยังเมืองคังติงเพื่อขอกำลังเสริม!”
แม้กังชางมินจะตกใจกับศึกที่มาถึงกะทันหันเช่นนี้ แต่เขาก็มิได้ขวัญเสียอย่างใด พร้อมออกคำสั่งกระจายหน้าที่ออกไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน
…
ริมหน้าผา ณ หุบเขาอัญเชิญปีศาจ ซิ่วเหล่ยรอรับพรรคพวกปีศาจกว่าหนึ่งร้อยกองร้อยที่ทยอยกันเข้ามา
“เห็นผีกระมัง! ข้าได้ยินมาว่าเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะลงทุนไปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างเรือเหาะเหล่านี้เพื่อขนส่งศิลาเทวะนับหลายร้อยไป เพื่อเรียกไถ่เป็นค่าภาษี! แต่เดิมคิดว่าพวกเราสามารถบุกยึกเมืองกระแสพิรุธได้โดยตรง แต่ที่ไหนได้ กลับมีกองทัพจากเผ่ามนุษย์โผล่มาจากไหนมิทราบ เข้าสกัดจนเรื่องแดงขึ้นในที่สุด!”
“เจ้าไม่เห็นปฏิกิริยาของท่านซิ่วเหล่ยรึ แทบอยากจะฉีกร่างคนพวกนั้นเป็นชิ้นๆ!”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...