แต่ละอย่างล้วนเป็นของหายากยิ่งทั้งสิ้น
“สมบัติทั้งแปดชิ้นนี้เจะเป็นของสามคนที่อยู่ในอันดับแรก! หลังจากที่ทุกคนตัดสินใจลงสนามแล้ว จะไม่มีการยอมแพ้เด็ดขาด ไม่เข้ารอบต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น มีแต่เข้ารอบไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาผู้ชนะได้ ทุกคนมีสิ่งใดขัดข้องหรือไม่?”
“ไม่! ไม่! ไม่มี!”
“ไม่มีแน่นอน!”
…
เหล่าผู้พิทักษ์ประจำตระกูลของแต่ละฝ่ายต่างโบกมือปัดไปมา พวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องค้านคำกล่าวของไตซินเลย
กฎประเภทนี้ถือว่าโหดและหายากยิ่งในดินแดนของเผ่ามนุษย์
แต่ในดินแดนของเผ่าปีศาจนับเป็นเรื่องธรรมดามาก
หากการต่อสู้นี้ไร้ซึ่งคนเจ็บและไม่มีการสูญเสีย นั่นแหละที่เป็นเรื่องแปลกแทน
แต่อย่างไรก็ตาม การจะสังหารปีศาจกลับมิใช่เรื่องง่าย
จุดสำคัญถึงชีวิตของเผ่าปีศาจคือแกนวิญญาณปีศาจ ตราบใดที่แก่นวิญญาณปีศาจยังไม่ถูกทำลายลง พวกมันก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอด
ดังนั้น เว้นเสียตาความแข็งแกร่งจะอยู่ห่างชั้นกันมาก มิฉะนั้นการจะฆ่าเหล่าปีศาจให้ตายจริงๆกลับเป็นเรื่องยากมาก
เมื่อโอกาสนี้มาถึง เหล่าตระกูลใหญ่ต่างต่อสู้ห้ำหั่นกันในเงามืดอยู่แล้ว คนที่พวกเขาพามาก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่พวกเขามั่นใจที่สุด
แต่มีเพียงคนเดียวที่เป็นแม่ทัพปีศาจสองดาวคือเย่หยวน
เจตนาของการแข่งขันในคราวนี้ชัดเจนเกินไป
การแข่งขันจะมีทั้งหมดสามรอบ ในมุมมองของคนอื่นๆ ความเป็นไปได้ที่เย่หยวนจะมีชีวิตรอดถึงรอบที่สามเท่ากับศูนย์
ผู้พิทักษ์ที่มีดีแค่รูปลักษณ์หน้าตา คนเช่นนี้จะมีพละกำลังเพียงใดกัน?
“สุริยันดารา เจ้าเป็นหนึ่งในสามที่ข้าเลือก! ข้าเห็นว่าทุกคนล้วนมีความแกร่งกล้าที่น่ากลัวยิ่ง ดังนั้นเจ้าห้ามทำให้ตำหนักเจ้าเมืองเสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด!”
ไคซินตรงเข้ามากล่าวกับผู้พิทักษ์ของฝ่ายตนเอง ซึ่งความหมายของเขาก็ค่อนข้างชัดแจ้งมีนัยสำคัญเร้นแฝงอยู่
ตราบใดที่เขาคนนี้วิ่งเข้าหาเย่หยวน เขาต้องฆ่าอีกฝ่ายแน่นอน
“ขอให้นายท่านจงเชื่อใจ สุริยันดาราผู้นี้จะไม่ทำให้เสียหน้าแน่นอน และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
สุริยันดาราก้มศีรษะกล่าว
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลี่จีกระซิบบอกเย่หยวนว่า
“น้องบรรพกาลราตรี เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้นเลย พอเริ่มเมื่อใด เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บและขอยอมแพ้ไปซะ! ทางฝั่งพี่ใหญ่ยังมียอดฝีมืออีกสองคน ตระกูลฟางของเราไม่แพ้แน่นอน!”
หลี่จีไม่ต้องการให้เย่หยวนถูกฆ่าทิ้งแน่นอน ท้ายที่สุดนี้ เขาที่สามารถฆ่าหลางเก๋อได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดเท่านั้น
แต่ผู้พิทักษ์ตระกูลเหล่านี้ล้วนหาใช่ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไปไม่
ความแข็งแกร่งของหลางเก๋อไร้ซึ่งคุณสมบัติยืนเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
เหตุผลที่หลี่จีเชิญชวนให้เย่หยวนเข้ามาเป็นอาคันตุกะและผู้พิทักษ์ประจำตัวนาง เป็นเพราะหลี่จีเห็นถึงศักยภาพแฝงในตัวของอีกฝ่าย และมองข้ามเรื่องความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไป
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“คุณหนูหลี่จีมั่นใจได้ บรรพกาลราตรีคนนี้รู้ดีว่าควรทำอย่างไร?”
…
“เหอะ มีภารระเฉกเช่นมันอาจทำให้เรามิได้รับสมบัติเหล่านั้นก็เป็นได้! หากมิใช่เพราะมีเด็กนี่เป็นตัวถ่วง พวกเราสามารถคว้าชัยได้แน่!”
ลั่วฉีเอ่ยลั่นอย่างเกลียดชัง
“มีเด็กจูงไข่อยู่แบบนี้ อย่าหาเกะกะมือเขาก็เป็นพอ มิฉันั้นเจ้าจักต้องได้รับผลแน่นอนในอนาคต!”
เป่ยหลานกัดฟันด้วยความเกลียดชังและกล่าวขึ้น
ณ สนามฝึกซ้อนลานเล็กแห่งนี้ หลังจากที่พวกเขาลงสู่สนามฝึกซ้อม ทั้งคู่ก็แยกเขี้ยวใส่เย่หยวนทันที
เย่หยวนกวาดสายตามองพวกนั้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงข้า”
“ตัวถ่วงเจ้า? ฮ่าๆๆ หากมิใช่เพราะเจ้าสนิมชิดเชื้อกับคุณหนูหลี่จี และใช้หน้าตาหลอกล่อนาง มีหรือที่เจ้าจะมีคุณสมบัติได้มายืนอยู่ตรงนี้?”
หลัวฉีระเบิดหัวเราะเยาะ
เย่หยวนกลอกตาพลางกล่าวว่า
“เจ้าสมองทึบ!”
“เจ้าพูดอันใด?!”
หลัวฉีระเบิดความโกรธออกมาทันที แต่โชคยังดีที่เป่ยหลานทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบรั้งอีกฝ่ายไว้และกล่าวว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ นี่มิใช่เวลามาทะเลาะกันเอง! ไม่ว่าบาดหมางกันอย่างไร กลับไปคอยคุยกัน!”
หลัวฉีสาดสายตาใส่เย่หยวนอย่างเลือดเย็นและกล่าวว่า
“จำใส่กะโหลกไว้ซะ! เมื่อเขากลับไป เจ้าโดนดีแน่! อย่างคิดว่าเจ้าจะทำตัวอย่างไรก็ได้! คุณหนูหลี่จีช่วยเจ้ามิได้ทุกเรื่อง!”
สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงคาโปนได้แก่ ตระกูลไค, ตระกูลโหย่ว, ตระกูลโม่ และตระกูลฟาง
คู่ต่อสู้ของตระกูลฟางในรอบแรกคือ องค์รักษ์ประจำตระกูลโหย่ว
เมื่อทั้งสามเห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้า พวกเขาก็เผยสีหน้าดูถูกเข้าทันที พลางหัวเราะเยาะขึ้นว่า
“เฮ้ออ..โชคดีจริงๆที่มาเจอเจ้าโง่ทั้งสามหน่อ ก่อนจะสู้กับพวกมัน พวกมันคงตีกันเองก่อน ฮ่าๆๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...