ไคซินพยายามข่มอารมณ์สงบสติเต็มที่ เพื่อทำให้น้ำเสียงของเขาดูสงบที่สุด ทั้งนี้เอง เขากำลังปกปิดความโกรธเกรี้ยวภายในใจ
สองมาตรฐานเช่นนี้ ชัดเจนเกินไปหรือไม่?
ทั้งๆที่เขายังไม่จากไปเสียด้วยซ้ำ!
หลู่เห่อขมวดคิ้วถักแน่นและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“หื้ม? ความหมายที่ท่านกล่าวคือ ข้ากำลังโกหกท่าน? ไฉนไม่เอาอย่างนี้ หลังจากที่ท่านอาจารย์ออกมาแล้ว ท่านไม่เผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัวเลยล่ะ?”
แม้ว่าไคซินจะพยายามควบคุมน้ำเสียงของเขา แต่ความสงสัยในคำกล่าวยังมิสามารถปกปิดได้อยู่ดี
ความโกรธเกรี้ยวของหลู่เหอพุ่งปะทุขึ้นแสนหงุดหงิด
เขายอมช่วยอีกฝ่ายเพื่อตรงเข้าไปรายงาน โดยไม่คิดรับผลประโยชน์ใดๆ แต่สุดท้ายยังถูกท่านอาจารย์ไล่ตะเพิดกลับมา
เมิ่งฉีมิใช่ศิษย์เพียงคนเดียวของเขา เพียงความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้เขาถูกไล่ออกจากการเป็นศิษย์สาวกจริงๆ
ลืมไปได้เลยสำหรับไคซินที่ไม่ทันจะได้ขอบคุณ แต่กลับมาไม่พอใจเขาแทนเสีย
แม้กระทั่งพระโพธิสัตว์เองยังต้องโกรธเกรี้ยว ท้ายที่สุดนี้ หลู่เหอเองก็หมดความอดทนที่จะไว้ไมตรีกับไคซินแล้วเช่นกัน
ไคซินดูท่าทางอึดอัดไม่น้อย
“ท่านพี่หลู่เหอ เข้าใจผิดแล้ว ข้า…”
หลู่เหอเอ่ยแทรกตัดท้อคำกล่าวทันทีด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ข้ามิได้เข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น! ก่อนหน้านี้หากรับเรื่องไว้เหมือนเดิมคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิจารณาตัวท่านเองเถิดว่ากำลังคิดหรือกล่าวอันใดอยู่ หาใช่จะปฏิบัติกลับข้าราวกับเพื่อนคนหนึ่ง ท่านไคซินโปรดกลับไป!”
สีหน้าการแสดงออกของไคซินเปลี่ยนไปอย่างมาก ยามนี้ทราบแล้วว่าตนกำลังทำให้ไคซินขุ่นเคืองถึงแก่นในแล้ว
เขาได้แต่ยืนอยู่เช่นนี้ ไม่ทั้งออกไปหรืออยู่ต่อได้
หลู่เหอที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยซ้ำว่า
“เพราะเหตุใด? เหตุใดท่านไคซินยังไม่ออกไป? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ท่านต้องการให้ข้าส่งออกไปทั้งแบบนี้?”
ในที่สุดไคซินก็ลาจากไปด้วยความหดหู่ แต่ภายในใจกลับคับแค้นฝังลึกโดยหาได้มีใครเข้าใจไม่
ด้วยสถานะศักดิ์และตำแหน่งในปัจจุบัน เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนในเมืองหลวงคาโปน
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาเองน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟางกับโถงโอสถปีศาจจะดีไปกว่าฝ่ายเรา เหตุการณ์วันนี้ต้องมีเรื่องผิดปกติไปจากเดิม ข้าจำต้องตรวจสอบให้ละเอียด”
…
ฟางอวี้เดินตามหลู่เหอเข้าไปยังโถงอีกห้องหนึ่งด้วยความงุนงง ภายในหัวว่างเปล่าไปหมด เมื่อผลักประตูเข้ามา เขาก็พบเห็นร่างหนึ่งอันคุ้นเคย
“หลี่จี? ไฉรเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?!”
ฟางอวี้อุทานลั่นด้วยความตกใจ
“เอ๊ะ? ท่านเองก็มาด้วยรึ? ข้า…ข้ากับบรรพกาลราตรีมาเดินเล่นรอบเมือง ก่อนที่เขาจะบอกว่า ต้องการมายังโถงโอสถปีศาจ ข้าจึงตามเข้ามาถึงภายในนี้”
หลี่จีเอ่ยอธิบายขึ้น ใบหน้าของนางเห่อแดงระเรื่อเล็กน้อย
“มาพร้อมกับบรรพกาลราตรี? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
ฟางอวี้กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าที่มืดทมิฬ
เจ้าหนุ่มคนนี้เดินทางมากับน้องสาวของเขา แต่ไฉนถึงปล่อยให้นางนั่งแห้งอยู่ตัวคนเดียว?
ทว่าแววตาของหลี่จีทอประกายแสนยิ้มเยาะ นางเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ตอนนี้เขากำลังคุยกับท่านปู่เมิ่งฉีอยู่! การสนทนานี้กินเวลาไปกว่าสามวันสามคืนแล้ว!”
“อะไรนะ?!”
ฟางอวี้แทบสะดุ้งโหย่งขึ้นทันทีด้วยความตื่นตกใจจัด
เขาเหลียวหน้าหันมองหลู่เหอทันทีพร้อมเบิกตาโตกล่าวว่า
“ท่านพี่หลู่เหอ หรืออาคันตุกะสำคัญที่ท่านกล่าวถึงคือบรรพกาลราตรี?”
หลู่เหอเปล่งเสียงเอ่ยตอบว่า
“จะเป็นใครได้อีกหรอกมิใช่เขา? เฮ้อ…ตระกูลฟางแท้จริงแล้วงำประกายลึกล้ำยิ่งนัก มีสุดยอดอริยะบุคคลเฉกเช่นเขา แต่ตระกูลฟางยังคงสงบเสงี่ยมเจียมตัว!”
ฟางหยูเอ่ยกล่าวพร้อมท่าทีสับสนว่า
“อ-อริยะบุคคล?”
เพียงแค่นี้พวกเขาก็ตระหนักทราบแล้วว่า เหตุใดเย่หยวนถึงบอกว่าพวกเขาอ่อนแอ
พวกเขาไม่สามารถมุ่งจิตสมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นได้ตลอด ทั้งๆที่เป็นเพียงขั้นพื้นฐาน แล้วนี่จะนับประสาอะไรกับการหลอมกลั่นระดับสูง
เย่หยวนทราบดีว่านิสัยดั้งเดิมที่ติดตัวเผ่าปีศาจมามักจะอารมณ์ร้อน โดยส่วนใหญ่ปราศจากชั้นเชิง การจะมุ่งเน้นกลับเรื่องละเอียดอ่อนอย่างการหลอมโอสถ นับเป็นเรื่องยากขึ้นมิใช่น้อย
เย่หยวนมอบสมาธิและจิตวิญญาณแห่งนักหลอมโอสถให้แก่พวกเขาเพิ่มขึ้นมาไม่รู้จบ เหล่าสหายชราเหล่านี้เองก็นั่งฟังหูตาไม่กะพริบ เพราะพวกเขารู้ดีว่า พวกตนกำลังได้รับถ่ายทอดความรู้อันไม่รู้จบอยู่
ตอนนี้เมิ่งฉีได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มานานมาก และจู่ๆ จะใบหน้าบอก ไคซินเรียกพบตัวเขา เช่นนี้จะมิให้เมิ่งฉีโกรธพิโรธขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเทียบกับความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวน ไคซินยังนับเป็นตัวอันใด?!
ทันทีทันใด เย่หยวนดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาจึงอุทานเอ่ยออกมาว่า
“โอ้ใช่แล้ว ก็พูดคุยเรื่องไร้สาระไปเสียนานสามวันสามคืน จนลืมเหตุหมายที่มาไปสนิม”
เหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าต่างพูดไม่ออก ทั้งหมดที่กล่าวไปล้วนเป็นเรื่องของเต๋า แล้วนี่จะเป็นเรื่องไร้สาระได้อย่างไร?
เว้นเสียแต่ว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่เย่หยวนเอ่ยอธิบายออกไปกลับมิได้ลึกซึ้งขนาดนั้น
มันคล้ายกับทักษะพื้นฐานเสียมากกว่า เพื่อแก้ปัญหาของทั้งห้าที่ไม่สามารถมุ่งมาธิอยู่ในจุดๆหนึ่งได้
แน่นอน แม้ว่าเย่หยวนจะเชิดศีรษะสูงโดยการหลอมกลั่นโอสถให้ผู้อาวุโสทั้งห้าดู แต่เขาก็ไม่สามารถดูถูกพวกเขาเองได้เช่นกัน
“ข้าสงสัยเสียเล็กน้อยว่า เหตุหมายสำคัญที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงหมายความอย่างไร? เมิ่งฉีจะส่งคนออกไปจัดการแทนทันที! ข้าขอให้ท่านอาจารย์บรรพชนราตรี โปรดสั่งสอนพวกเราอีกสักสองสามวันได้หรือไม่?”
ตอนนี้เมิ่งฉีเลื่อมใสศรัทธาในตัวเย่หยวนอย่างหาที่เปรียบไม่ มาตรฐานหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวน หาใช่สิ่งที่เขาจะจินตนาการได้เลย!
เขารู้สึกว่า นักปรุงโอสถปีศาจระดับสามจำนวนน้อยนิดภายในเมืองก็มิอาจเทียบเทียมกับเศษเสี้ยวของท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีได้เลย!
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสามได้ก็ตาม
แต่เย่หยวนกล่าวว่า
“อภิปายเรื่องเต๋า ขอให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ก่อน ข้ามาที่โถงโอสถปีศาจแห่งนี้ก็เพื่อ ซื้อสมุนไพรวิญญาณสองสามชนิด นอกจากนี้ยังต้องมีเรื่องคาใจต้องถามตอบในหอร้อยปัญญา พวกเจ้าไม่สามารถทำแทนในนามของข้าได้”
เมิ่งฉีเร่งกล่าวขึ้นว่า
“กล่าวเช่นนี้ หาใช่ว่าท่านอาจารย์บรรพกาลราตรีกำลังตบหน้าเราคนนี้? สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นมีอะไรบ้าง? ตราบใดที่โถงโอสถปีศาจของเรามี ไม่ว่าสิ่งใดโปรดอย่าลังเลที่จะรับมันไป! หากสิ่งนั้นไม่มีในโถงโอสถปีศาจ เช่นนั้นพวกเราจะเร่งหาให้ในเวลาอันสั้น! ส่วนโถงร้อนปัญญา พวกเราเองก็ไม่สะดวกที่จะเข้าไป ท่านเอาป้ายตราโถงโลหิตปรโลกของข้าไป แล้วพวกนั้นย่อมไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน!”
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
2970 อิหลินเสวียอิห่าราก ฟื้นขึ้นมาก็ทิ้งกันเลย😂...
พวกเมีย เพื่อนฝูง น้องๆ แม่งเป็นได้แต่ตัวถ่วง ตัวภาระ😂...
ตอนแรกๆอ่านยังไง...
DDD...