สิ่งแรกสุดที่เขาตกใจคือ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเย่หยวน สิ่งต่อมาคือเย่หยวนที่สามารถต่อกรกับจ้าวอี้ได้อย่างสูสีนัก ทั้งๆที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลาง
“หุบปาก! ไอ้เด็กเหลือขอนี่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ! หาใช่เรื่องง่ายจักรับมือ รีบมาช่วยได้แล้ว!”
จ้าวอี้ตะโกนโต้สวนกลับไปทันที
ฉินจ้าวหยุนและอีกคนที่มาด้วยอย่างเหวินอี้หยางต่างกายาสั่นสะท้าน พลางสบตากันเล็กน้อยส่องสะท้อนเผยความประหลาดใจยิ่งยวด
แนวคิดแห่งห้วงมิติ…สุดยอดแนวคิดในตำนาน!
เด็กคนนี้สามารถบรรลุมันได้อย่างไร?!
“ไอ้เด็กเหลือขอ! อย่าอาละวาดจองหองนัก! วันนี้เจ้าเหวี่ยงตัวเองเข้าตาข่าย มีหรือจะหลบหนีออกไปได้อีก!”
ฉินจ้าวเทียนคำรามลั่นพร้อมปลงใจเข้าร่วมศึกสัประยุทธ์เสริมทันที
ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏผ่านคู่ดวงตาของเหวินอี้หยาง แต่ท้ายที่สุดเขายังคงตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้กับเย่หยวน
คลื่นพลังแนวคิดแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน บ้านเมืองโดยรอบวินาศกลายเป็นฝุ่นผง
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเข้าประจัญบานสามคนพร้อมเพรียง ขุมพลังทำลายล้างที่ระเบิดคลั่งออกมาจักน่ากลัวปานใด?
เย่หยวนดูบอบบางเกินกว่าจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปภายใต้สามยอดเซียนผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าเขายังคงยืนหยัดได้ไม่มีล้มสุดแสนจะมั่นคงยิ่ง!
ในทางตรงข้าม ภายใต้คมดาบนี้ของเย่หยวนกลับไล่ต้อนพวกเขาทั้งสามจนเดือดดาลเข้าไปทุกที
ทั้งสองฝ่ายต่างทำอันตรายกันมิได้เลย!
เย่หยวนยังคงฝีมือแสนวิปลาสดังเดิม!
“นี่…นี่กลับไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าหยิ่งผยองปานนี้! ความแข็งแกร่งของเย่หยวนน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ!”
“แนวคิดแห่งห้วงมิติถือเป็นแนวคิดระดับสูงสุด แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย ทว่าเด็กนี่ที่เป็นเพียงบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถบรรลุได้แล้ว!”
“ช่วงเวลายี่สิบปีสั้นๆ ความแข็งแกร่งของเย่หยวนสามารถเทียบชั้นได้กับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วจริงๆ ช่างน่าทึ่งโดยแท้!”
“หากเขาไม่ถูกไล่ออกไปจากเมืองหลวงหวู่เมิงในปีนั้น ปานนี้เมืองหลวงหวูเมิงคงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองอื่นๆไปแล้ว!”
…
ร่างไสวเย่หยวนเคลื่อนผ่านไปมาระหว่างทั้งสามทับซ้อนแสนคล่องแคล่ว และไม่มีทีท่าว่าจะพลาดท่าถูกปราบปรามแม้แต่น้อย
หนิงซื่ออวี๋เฝ้ามองศึกสัประยุทธ์นี้ภายในโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน และเอ่ยอุทานด้วยความตกใจยิ่ง
“ปรากฏว่า ศาสตร์แห่งการต่อสู้ของท่านปรมาจารย์เย่เองก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง! ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนข้าถึงไม่สามารถขัดขืนอะไรเขาได้เลยในยามนั้น! ข้าจนปัญญาเสีย จักต้องบ่มเพาะพลังฝึกปรืออีท่าไหนถึงจะได้แบบนั้น ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าข้า แต่กลับแข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว!”
เจ้าท้วมเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“เย่หยวนคนนี้มิสามารถประเมินได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่ว่าอัจฉริยะหน้าไหนล้วนถูกบดขยี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา”
หนิงซื่ออวี๋ไม่มีท่าทีกล่าวหักล้างใดๆ สำหรับวาจาประโยคนี้ของเจ้าท้วม นางเองก็ไม่มีข้อคัดค้าน
แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางยังเรียกเย่หยวนว่าปรมาจารย์เย่ ทัศนคติของท่านอาจารย์ที่มีต่อเย่หยวนคงไม่จำต้องกล่าวบรรยายใดๆอีก
ผู้ใดได้ยินตต่างหวาดกลัวไปทั่วทั้งมุมเมือง!
ในตอนนี้ร่างของเย่หยวนปราดถอยห่างออกมากะทันหัน ตีฝีมือสร้างระยะห่างออกจากทั้งสาม
ซึ่งเย่หยวนก็สามารถตีฝ่าออกมาได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอันใด
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าทั้งสามกลับไม่สามารถจับตัวเย่หยวนได้ทันแม้นสักคน
ยามนี้พวกเขาทั้งสามต่างจับจ้องเย่หยวนเผยแววครั้นคร้ามอย่างหาที่เปรียบไม่
“ข้าผู้นี้ขี้เกียจเล่นกับพวกเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม…ชีวิตของฉินจ้าวหยุน วันนี้ข้าขอรับไป!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นไม่แยแสอันใด ราวกับบทสนทนาทั่วไปประจำวัน
แต่ทันทีทันใด กลิ่นอายราชาเหนือสรรพชีวิตพลันครอบคลุมทั่วแผ่นฟ้าในบัดดล ปรากฏร่างของฉินเซียวยืนค้างกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า
เขาปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมท่าทีลำพอง
ฉินจ้าวหยุนที่เห็นว่าฉินเซียวปรากฏตัวขึ้นมา จากที่ใจหายใจคว่ำยามนี้กลับมาเป็นปกติสุขดังเดิม
“ไอ้เด็กเหลือขอ วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว!”
ฉินเซียวเหลือบมองเย่หยวนพลางระเบิดหัวเราะกับตัวเอง กล่าวว่า
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้าหาญปานนี้มาจากที่ใด ถึงกล้ากลับมายังเมืองหลวงหวูเมิ่งจริงๆ! ไหนเจ้ามีอะไรดีขึ้นบ้าง!”
ในอีกด้าน สีหน้าท่าทีของเย่หยวนยังคงสงบเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน
หากย้อนกลับไป ฉินเซียวนับเป็นยอดเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้เพียงหนึ่งเดียวแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...