เล่งหยูตบบ่าเย่หยวนและพูดให้กำลังใจเขา “เด็กน้อยเจ้าทำได้แน่ ชายแก่คนนี้จะรอวันที่เจ้าได้ก้าวข้ามประตูมังกร”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าไม่เคยสงสัยเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
เล่งหยูจึงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “ดีมาก เด็กที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเจ้านี่ข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนจริง ๆ แต่การเดินทางครั้งนี้มันแสนไกล จงระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!”
หากเป็นอัจฉริยะธรรมดา ๆ การติดอยู่ในอาณาจักรเดิม ๆ แบบนี้มานานหลายต่อหลายปี พวกเขาอาจจะหมดแรงที่จะอยู่ต่อและปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวัง
แต่เล่งหยูนั้นไม่เห็นอารมณ์ด้านลบใด ๆ ออกมาจากตัวของเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงมีท่าทีสดใสและสดชื่น ทำให้ผู้ได้พบเห็นรู้สึกโล่งใจและสงบอย่างบอกไม่ถูก
นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเล่งหยูทั้งหลายมั่นใจ มั่นใจว่าสักวันเย่หยวนต้องบรรลุอาณาจักรขึ้นมาได้แน่ ๆ
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ขอโปรดวางใจ เย่ผู้นี้มีไม้เด็ดใช้ปกป้องตัวเองได้ไม่ยาก พวกเจ้าทั้งหลายจงรอฟังข่าวดีเถิด ปัญหาเดียวที่กวนใจข้าตอนนี้คือข้าไม่สามารถรักษาผู้อาวุโสใหญ่ให้หายได้ก่อนจะออกเดินทาง”
เจิ่งชีนั้นมีสภาพที่ย่ำแย่มากเหมือนคนป่วยหนักใกล้ตายเต็มที แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตทนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
เมื่อได้ยินว่าเย่หยวนจะเดินทางออกจากเมือง เจิ่งชีจึงยืนยันอย่างสุดตัวว่าเขาจะต้องออกมาส่งเย่หยวนให้ได้
เจิ่งชียิ้มออกมา “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ชายแก่คนนี้คงไม่มีชีวิตไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เมื่อความแค้นของอาจารย์ถูกสะสางแล้ว ชายแก่คนนี้ก็ไม่มีอะไรค้างคาในโลกอีก เจ้าจงไปเถอะ หากข้าทนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ข้าก็ทนรอจนกว่าเจ้าจะกลับมาได้!”
เมื่อได้เห็นว่าสภาพจิตใจของเจิ่งชียังดี เย่หยวนก็ยิ้มและพยักหน้ารับ
ที่ด้านข้าง หนิงซืออวี๋นั้นมีท่าทางไม่ค่อยพอใจมาก ก่อนจะบ่นออกมาเบา ๆ “หนิงเทียนปิงนี่มันช่างไร้สำนึกเสียจริง ๆ ไหนว่าจะออกมาส่งเขาด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับหายหน้าไปเนี่ย”
เวลากว่า 300 ปีมานี้หนิงซืออวี๋เองก็สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วและกลายเป็นจอมเทพโอสถ 4 ดาว
นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลของความไม่พอใจจากทุก ๆ คนรอบตัว
เพราะหนิงซืออวี๋ผู้นี้นับได้ว่าเป็นศิษย์ของเย่หยวนไปครึ่งตัว ตอนนี้แม้แต่ศิษย์ยังบรรลุได้ แต่อาจารย์กลับยังย่ำอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต่างดูถูกเขาหนักขึ้น
แต่ว่าตัวหนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย นางรู้สึกขอบพระคุณในตัวเย่หยวนมาก
เพราะหากไม่มีเย่หยวนแล้ว มีหรือที่นางจะบรรลุได้รวดเร็วขนาดนี้ แถมเขายังช่วยสอนเรื่องราวต่าง ๆ ในวิชาโอสถให้นางอีกมากมาย
เย่หยวนยิ้มตอบมา “หากสวรรค์อยากให้เราลาจากเราก็ไม่มีทางใด ๆ ไปขัดขืนได้ แค่พวกเจ้ามากันในวันนี้ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว”
เพราะเพื่อนแท้คือเพื่อนยามยาก!
การนับว่าคนเรามีเพื่อนแท้มากแค่ไหนนั้นไม่ได้นับจากจำนวนคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเมื่อเรามีอำนาจและเงินตรา แต่เป็นการนับคนที่ยังยอมอยู่รอบตัวเราเวลาเราลำบากและหัวเราะไปด้วยกันในยามที่เราตกร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุด
และแน่นอนว่าผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่หยวนในวันนี้คือเพื่อนแท้ของเขาในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องของหนิงเทียนปิงนั้นกลับอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเย่หยวนไปมาก
เพราะด้วยความเข้าใจที่ตัวเขามีต่อหนิงเทียนปิง เขาไม่น่าจะเป็นคนที่เลวร้ายใด ๆ
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะปกปิดนิสัยที่แท้จริงได้เก่งกาจปานนั้น
แต่นายน้อยอย่างหนิงเทียนปิง เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่เลวทรามไปถึงแก่นได้
“เอาล่ะ แม้ต่อให้พวกเจ้าเดินไปส่งแจกไกลนับหมื่นลี้แต่สุดท้ายเราก็ต้องลาจาก เพราะฉะนั้นทุกคนโปรดกลับเข้าเมืองเถอะ”
เย่หยวนยกมือขึ้นประกบหมัดเป็นท่าแสดงความคารวะต่อทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
…
บนยอดหอยุทธ์ มีสายตาสองคู่กำลังจ้องมองการจากไปของเย่หยวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...