ระหว่างที่โอสถทั้งสองเม็ดค่อยๆ ละลายไปในท้องของเขา มันก็กลับให้ความรู้สึกผิดแปลกประหลาดต่อร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับได้ตรัสรู้
เจิ่งชีนั้นหยุดอยู่ที่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมานานมากหลายหมื่นกว่าปี ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นไปแตะถึงฐานของอาณาจักรนภาสวรรค์ได้เสียที
เพราะว่าย่างก้าวนี้มันเป็นอะไรที่แสนจะยากเย็นสำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว!
เจิ่งชีไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าในห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้ โอสถสองเม็ดของเย่หยวนนี้กลับช่วยให้เขาสัมผัสได้ถึงฐานของอาณาจักรใหม่
หลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นดีใจไปมากกว่านั้น เล่งหยูก็บอก “เรื่องแบบนี้เจ้าจะพลาดไปไม่ได้! เจ้าต้องทำการเข้าเก็บตัวให้เป็นกิจลักษณะ! ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าเองก็หายไปกว่าร้อยละห้าสิบถึงหกสิบแล้ว ไม่ต้องให้ข้าช่วยอีกต่อไปแล้ว”
เจิ่งชีพยักหน้ารับและเริ่มปิดตาลงทำการดูดซึมโอสถที่ยังเหลืออยู่ในร่างต่อทันที ส่วนเล่งหยูก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องลับนั้นมา
หลังออกจากห้องลับมาได้ เล่งหยูก็ไปหาเย่หยวนในทันที เขานั้นสงสัยใคร่รู้อย่างที่สุดว่าโอสถสองเม็ดนี้ของเย่หยวนมันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่
ตอนนั้นเย่หยวนกำลังนั่งคุยเล่นกับซวนอี้อยู่
ซวนอี้มองดูเย่หยวนและยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ไม่ว่าจะยังไงหนิงจื่อหยวนก็ยังเป็นถึงผู้นำตระกูลหนิง เจ้าจะไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้เลยจริงๆ รึ?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “หน้าตานั้นเป็นสิ่งที่คนเรามี หาใช่ต้องให้ใครมาไว้ เย่ผู้นี้เองก็มิใช่คนใจจืดใจดำ แต่ข้านั้นเกลียดชังผู้คนที่ตลบหลังคนอื่นยามยากเสียเหลือเกิน หากข้าไม่เห็นแก่หนิงเทียนปิง ต่อให้เขาจะมายืนอยู่ทั้งชีวิตข้าก็ไม่คิดที่จะพบกับเขาหรอก”
ซวนอี้ได้แต่ถอนหายใจ “ในหมูตระกูลน้อยใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ จริงๆ แล้วก็เป็นตระกูลหนิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเจ้าไปมากที่สุดในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเขาจะทำเช่นนั้นในงานประชุมผู้อาวุโส ไม่แปลกหรอกที่ผู้คนจะเอาใจออกห่าง ช่างเถอะ กับแค่ตระกูลหนิง ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้ ต่อให้เป็นสองคนด้านบนนั้นก็คงขัดใจเจ้าได้ไม่มากหรอก”
ระหว่างที่คุยกันไปได้เท่านี้ เล่งหยูก็วิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ เมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนเขาก็ถามขึ้นอย่างไม่รีรอ “เย่หยวน โอสถของเจ้ามันคืออะไรกัน? ทำไมเจิ่งชีที่กินเข้าไปถึงจะได้บรรลุอาณาจักรกัน?”
เมื่อซวนอี้ได้ยิน เขาก็หันไปมองหน้าเย่หยวนอย่างเต็มแรงด้วยความตื่นตกใจ
โอสถทั้งสองเม็ดนั้นเขาเองก็รู้จักมันอย่างดี มีหรือที่มันจะมีฤทธิ์ใดช่วยให้เจิ่งชีบรรลุได้?
หรือว่า… เล่งหยูมองผิด?
เย่หยวนได้แต่ยิ้ม “ในเวลาหลายปีมานี้ข้าได้ค้นพบวิธีการใหม่ในโอสถอีกครั้ง ข้าได้ค้นพบว่าหากใช้วิธีการหลอมนี้มันจะช่วยให้โอสถมีฤทธิ์ต่างจากปกติไปเล็กน้อย แต่ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะถึงขั้นช่วยให้พี่เจิ่งบรรลุได้แบบนั้น เป็นเรื่องที่ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเช่นกัน”
เมื่อซวนอี้และเล่งหยูได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของพวกเขาทั้งสองก็สั่นสะท้านออกมาอย่างรุนแรง แค่โอสถขั้นเทวะนั้นมันก็สุดยอดมากแล้วแท้ๆ แต่หากนับรวมกับเรื่องนี้เข้าไปด้วย โอสถที่หลอมออกมามันก็เท่ากับว่ามีค่าไร้ใดเปรียบเลย!
จริงๆ เย่หยวนนั้นรู้มานานแล้วว่าหลังจากเขาบรรลุอาณาจักรวายุพระเจ้ามา ปราณเทวะของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไป
เพราะมันจะปล่อยพลังสุดลึกลับออกมาด้วย!
ไม่ว่าจะเอามันมาใช้วิชาต่อสู้หรือเอามาหลอมโอสถ มันก็จะช่วยเพิ่มพูนพลังไปได้มากมายนัก
แม้ว่าเย่หยวนที่บรรลุระดับสี่มาได้จะไม่มีพลังโลก แต่เขากลับมีพลังอันลึกลับอันนี้แทน
เย่หยวนเรียกมันว่า… พลังโกลาหล!
เขารู้สึกได้ว่าพลังโกลาหลนี้มันลึกลับและซับซ้อนมากกว่าพลังโลกนัก
ดูท่าแล้ว การมีพลังโกลาหลนี้ นอกจากมันจะทำให้เย่หยวนไม่แพ้พ่ายต่อเหล่าราชันพระเจ้าแล้ว มันกลับจะยิ่งทำให้เขาเหนือกว่าไปเสียด้วยซ้ำ
แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นความลับ
เพราะเช่นนั้นต่อให้เป็นสองคนนี้ เย่หยวนก็บอกออกไปแค่ว่าเขาใช้วิธีการหลอมแบบใหม่ เพราะแบบนั้นมันถึงได้ทำให้โอสถมีความแตกต่างออกไปได้เช่นนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้โอสถเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ แล้วมันก็คือปราณเทวะโกลาหลของเขาเอง
แต่เจ้าปราณเทวะโกลาหลนั้นคือสุดยอดความลับของเขา เขาจึงไม่คิดที่จะบอกใครออกไปแม้แต่คนเดียว
ต่อให้เป็นในการต่อสู้เย่หยวนก็จะใช้ปราณเทวะโกลาหลออกมาให้เนียนเหมือนกับมันเป็นพลังโลก ช่วยตบตาผู้คนที่ได้เห็น
และเขาก็ได้รู้ว่าปราณเทวะโกลาหลนี้มันปกปิดตัวได้อย่างดี เหมือนตอนที่เขาเลียนแบบพลังของยอดฝีมือเผ่าปีศาจในครานั้น ไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะออกได้เลย
นั่นทำให้เย่หยวนคาดคิดว่าพลังโกลาหลนี้มันน่าจะอยู่เหนือล้ำกว่าพลังโลก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...