แม้ว่าในโถงนี้มันจะมีศิษย์อยู่แค่ไม่กี่คน แต่ภาพตรงหน้านี้มันก็ทำให้เกิดความตื่นตะลึงอย่างมหาศาล
ศิษย์คนนั้นยกมือขึ้นมาลูบหน้า ตอนนี้ฟันของเขาร่วงออกมาจากปากพร้อมเงยหน้ามองเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว
เย่หยวนมองดูเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไอ้คนที่สั่งให้เจ้าทำนั้นมันไม่ได้บอกหรือว่าอย่ามาคิดลงมือต่อหน้าข้า? เจ้าเป็นศิษย์ที่มีหน้าที่ดูแลถ้ำหลวงและจัดการดูแลว่าใครจะได้ไปที่ใด เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ทั้งอย่างนั้นเจ้ากลับลุกมาหาเรื่องใส่ตัว เรื่องนี้คงโทษข้าไม่ได้หรอกนะ”
พูดจบเย่หยวนก็หยิบธงนั้นและหันหน้าเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน! เย่หยวนข้าขอไปกับเจ้าด้วย!” เซงโหยวพูดขึ้น
เขาหันหน้าไปหาศิษย์ที่ดูแลคนนั้น “ไอ้เจ้าถ้ำหมาๆ ของเจ้านั้นข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว! เจ้าเอาธงออกมาให้ข้า! ข้าจะไปที่ยอดเพลิงเมฆาด้วย!”
เย่หยวนได้แต่ขมวดคิ้ว “พวกมันอยากให้ข้าไปที่ยอดเพลิงเมฆาย่อมเป็นเพราะว่าที่เห็นนั้นมันแสนอันตราย เจ้าไม่ต้องตามข้ามาก็ได้”
แต่เซงโหยวกลับตอบไปด้วยรอยยิ้มแสนสบายใจ “แม้ฝีมือข้าจะต่ำกว่าเจ้าแต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีใครคอยช่วย! ที่สำคัญการเปิดถ้ำหลวงออกนั้นข้าจะนับว่ามันเป็นบททดสอบหนึ่งแล้วกัน!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินดังนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที
เซงโหยวเองก็เป็นคนฉลาด แค่เย่หยวนบอกคำพูดไม่กี่คำเขาก็กลับมาตั้งหลักตั้งสติได้
การบ่มเพาะพลังนั้นเป็นการเดินสวนทางโลกมาแต่เดิมแล้ว หากเซงโหยวคิดจริงๆ ว่าแค่เข้านิกายเงาจันทร์มาได้แล้วตัวเองจะกลายเป็นยอดคนเหนือฟ้ามันก็คงบอกได้ว่าเสียดายพรสวรรค์เปล่า
เย่หยวนพยักหน้า “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของคนทั้งสองเดินจากไป ศิษย์คนนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าคับแค้นใจ
“หึ ยอดเพลิงเมฆานั้นเป็นสถานที่รกร้างเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสี่ รวมไปถึงยังมีสัตว์อสูรระดับห้าอยู่ไม่น้อย ศิษย์ทั้งหลายที่ต้องการเปิดถ้ำหลวงได้เอาชีวิตไปฝากไว้ยังที่แห่งนั้นก็มีมากมาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างพวกเจ้าจะรอดกลับมาได้!”
…
บนยอดเพลิงเมฆานั้นมันมีแต่ความรกร้างป่าทึบ ร่องรอยการเดินของสัตว์อสูรมีให้เห็นตามทางอยู่ตลอด
ความน่าสะพรึงของภาพรอบกายนี้มันทำให้เซงโหยวหน้าซีดลงมาไม่น้อย
“เย่หยวน ยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเป็นสถานที่รกร้าง คนเหล่านั้นมันคิดอยากได้ชีวิตเจ้าจริงๆ!”
เซงโหยวเข้าใจได้ทันทีหลังมาถึงยอดเพลิงเมฆาว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้คิดส่งเย่หยวนมายังที่แห่งนี้
เขารู้มาก่อนแล้วว่าเย่หยวนนั้นมีเรื่องกับสามค่ายนิกายใหญ่ แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนพวกนั้นมันจะทำกันได้ถึงขั้นนี้
เย่หยวนยิ้มตอบ “ตราบเท่าที่ความเลวร้ายนั้นไม่ได้สังหารข้า มันก็ย่อมจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น เรื่องนี้มันจะกลับไปเป็นฝันร้ายหลอกหลอนพวกมัน”
เซงโหยวเบิกตาออกกว้างในทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เขาได้รู้แน่แล้วว่าเย่หยวนนั้นมีจิตใจที่เปิดกว้างกว่าตัวเขามากมายแค่ไหน
ด้วยอิทธิพลจากเย่หยวนนี้มันทำให้ตัวเซงโหยวสงบจิตสงบใจลงได้ในที่สุด
“เราเอายังไงต่อดี?” เซงโหยวถาม
เย่หยวนคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอก “ก่อนอื่นก็ต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพโดยรอบก่อน ตอนนี้เดินมุ่งหน้าไปยังที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดกันเถอะ ในเมื่อมันเป็นยอดรกร้างไม่มีผู้คน เราก็ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกตาล่มวิญญาณที่ดีที่สุดได้”
เซวโหยวพยักหน้ารับ “พลังวิญญาณทางตะวันตกเฉียงใต้ดูจะหนาแน่น ไปดูกันทางนั้นไหม?”
เย่หยวนพยักหน้ารับและเดินมุ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้พร้อมๆ กับเซงโหยว
ระหว่างทางไป ความตื่นตะลึงในหัวใจของเซงโหยวมันก็ยิ่งเพิ่มพูน
เพราะพลังฝีมือของเย่หยวนที่ได้แสดงออกมานั้นมันทำเอาเขาไม่กล้าจ้องมองดูตรงๆ
สัตว์อสูรระดับสี่ทั่วๆ ไปมิอาจรับการโจมตีของเขาคนนี้ได้แม้แต่กระบวนท่า
ต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายที่นับเทียบได้กับราชันพระเจ้าแปดดาวก็ยังมิอาจรับการโจมตีของเย่หยวนได้สักกระบวนท่า
มีเพียงเหล่ายอดสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายเท่านั้นที่พอจะรับกระบวนท่าโจมตีของเย่หยวนได้
เพียงแค่ว่าสุดท้ายพวกมันก็ต้องถูกสังหารลง
หลังจากแยกกับไป่หลี่ชิงหยานแล้วเย่หยวนก็ฝึกฝนตัวเองในเทือกเขาเงาจันทร์ ตอนนี้อาณาจักรพลังของเขาถูกตั้งอย่างมั่นคงและช่วยให้พลังการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นไปได้อีกขั้น
เดิมทีเซงโหยวคิดว่าที่เย่หยวนสามารถตบหน้าศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนนั้นได้มันอาจจะมีเรื่องของโชคมาช่วยอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้เขาย่อมรู้แล้วว่าศิษย์ราชันพระเจ้าเก้าดาวคนนั้นมันอ่อนแอจนเกินไป!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...