คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
เจียงหงนั้นตอบสนองกลับมาได้รวดเร็วที่สุดด้วยการหัวเราะ “กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่? เจ้าคิดว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่มันเหมือนกับยอดกลองจรัสที่พวกเจ้าตีตอนเข้านิกายมาหรือ? ข้าขอบอกเลยนะว่ายอดกลองจรัสนั้นมันถูกลดระดับลงไปมากพวกเจ้าจึงสามารถตีมันให้เกิดเสียงได้! ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหลายมันคงไม่มีใครเข้านิกายมาได้แน่ อย่าหวังว่าจะตีมันให้เกิดเสียงได้เลย!”
เย่หยวนได้ยินหลังจากเข้านิกายมาแล้วว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์สุดล้ำค่าของนิกายเงาจันทร์
กลองทั้งเจ็ดลูกนี้เมื่อมารวมกันมันเทียบเท่าได้กับยอดฝีมือระดับเทพสวรรค์!
สมบัติชิ้นนี้มิใช่แค่สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ แต่เป็นถึงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!
กลองทั้งเจ็ดลูกนี้ต่างล้วนเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขั้นสูง แต่เมื่อนำมันมารวมกันเป็นชุดมันกลับกลายเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์อย่างแท้จริง!
แน่นอนว่าเงื่อนไขของมันคือการที่ต้องมีใครสักคนตีมันให้ได้ทุกลูก
กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ให้โดยผู้ก่อตั้งนิกายเงาจันทร์และเขายังเป็นผู้ตั้งกฎนี้ด้วย กฎที่ว่าใครก็ตามที่สามารถตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ทั้งเจ็ดให้เกิดเสียงได้คนทั้งนิกายจะต้องช่วยเรื่องราวหนึ่งอย่างของเขาผู้นั้นให้ลุล่วง
แต่ทว่าตั้งแต่เริ่มก่อตั้งนิกายมานับล้านปีมันยังไม่เคยมีใครสามารถทำเรื่องราวนั้นได้เลย
ตอนนี้เย่หยวนกลับพูดเรื่องนี้ออกมาจากปาก บอกว่าตัวเองจะตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ ทำแบบนี้มันจะไม่เป็นการทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะหรือ?
“ไอ้หมอนี่มันคิดว่าตัวเองมากพรสวรรค์แต่จะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”
“หึ ตั้งแต่บรรพกาลมามียอดคนมากมายแค่ไหนที่คิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่แต่มันกลับไม่มีใครทำได้ ไอ้หมอนี่มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
“ไอ้คนโง่อวดดี ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสิ่งของที่เหนือล้ำเพียงใดแต่กลับกล้าพูดจาเช่นนั้นออกมา”
…
เมื่อเย่หยวนเอ่ยปากบอกทุกคนต่างก็มองกลับมาด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของนิกายเงาจันทร์ ตั้งแต่บรรพกาลมาไม่เคยมีใครอวดอ้างตัวเองจนคิดจะเข้าไปตีมัน
แต่ตอนนี้กลับมีชายคนหนึ่งที่พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย บอกว่าตัวเองจะไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่
เฉียวฟูรีบเดินขึ้นมาบนสังเวียนและบอกเย่หยวน “เจ้าหนูเลิกล้อเล่นได้แล้ว กลองเจ็ดดาวหมีใหญ่นั้นแม้แต่ท่านเจ้านิกายก็ไม่อาจตีได้ มัน… ไม่มีทางที่เจ้าจะตีมันได้หรอก ตราบเท่าที่ขุนเขายังเป็นสีเขียว ตราบเท่าที่ฟืนไฟยังอุดม เรื่องราวนี้มันย่อมสามารถหาทางแก้แค้นกันได้ในวันหน้า”
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็เดินขึ้นมาบนสังเวียนเช่นกัน “ใช่แล้วเย่หยวน เจ้าได้แสดงความสามารถออกมาแล้วตอนนี้ทางนิกายย่อมต้องมองเจ้าใหม่แน่ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าการแก้แค้นสิบปีมันยังไม่สาย ที่สำคัญไปตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่เพื่อสังหารขยะอย่างมันนั้นมันช่างเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนอย่างแท้จริง”
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็คิดว่าเย่หยวนนั้นพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยความโกรธแค้น
เมื่อกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ถูกตีขึ้นได้มันจะเท่ากับว่าคนของนิกายทั้งหมดทั้งสิ้นนี้จะช่วยกันเพื่อทำให้ความหวังหนึ่งอย่างของผู้ตีบรรลุผล
เรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้นหากเอามาแค่เพื่อใช้สังหารเชียนเย่มันจะเกินกว่าคำว่าน่าเสียดายไปมากทีเดียว ราวกับการยิงปืนใหญ่เพื่อสังหารยุงเล็กๆ ตัวเดียว
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนกลับบอก “ข้าไม่ได้ล้อเล่น! ข้าบอกว่าจะสังหารมัน ก็หมายความว่ามันต้องตาย! ปรานีศัตรูคือความโหดร้ายต่อตัวเอง! กลองนี้ข้าจะตีมันให้ได้แน่นอน!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะหนักแน่นในคำพูดได้ถึงขนาดนี้
…
หุบเขาเจ็ดดารา ที่แห่งนี้คือดินแดนต้องห้ามของนิกายเงาจันทร์และยังเป็นสถานที่ที่ใช้เก็บกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ไว้ด้วย
ตอนนี้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดนั้นต่างมารวมกันที่โถงหนึ่ง
หลายต่อหลายคนในกลุ่มนั้นหันมามองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“หึ! ไอ้เด็กไม่ประมาณตน คิดอยากตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดหทัยสวรรค์บอกกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกลับกล้ามาสร้างเรื่องให้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดต้องมารวมตัวกัน ช่างไม่รู้จักประมาณตัว!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดพลันสวรรค์บอกตาม
“เฉียวฟู เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากช่วยเจ้าเด็กบ้าคนนี้จริงๆ? หากมันตีได้ไม่ถึงสามครั้งมันจะไม่จบแค่ตัวมันถูกไล่ไปอยู่ยอดเขาห่างไกลแต่เข้าเองก็จะต้องได้รับการลงโทษที่หนักหนาด้วยนะ!” ยอดผู้อาวุโสถ่ายทอดประจำยอดเสาสวรรค์บอกเฉียวฟู
การจะเปิดหุบเขาเจ็ดดารานั้นมันต้องให้เก้ายอดผู้อาวุโสถ่ายทอดมารวมตัวกัน
พวกเขาแค่ละคนนั้นจะได้รับส่วนหนึ่งของคาถาไว้ เมื่อคนทั้งเก้ามารวมกันเท่านั้นมันจึงจะสามารถเปิดหุบเขาเจ็ดดาราออกได้
การที่ต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ย่อมเพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...