“ใช่ไหมล่ะ? มันเป็นคำขอที่ทำให้ท่านเจ้านิกายต้องลงมือเองได้ ต่อให้เป็นการสังหารเทพถ่องแท้มันก็คงเป็นไปได้ แต่กลับมาใช้มันเพื่อสังหารนภาสวรรค์หนึ่งดาวเช่นนี้”
“ไม่เข้าใจจริงๆ! ความคิดของพวกยอดอัจฉริยะมันมิใช่อะไรที่คนธรรมดาอย่างเราๆ จะไปเข้าใจได้หรอก”
…
ในที่สุดเชียนเย่ก็ตายลงภายใต้คำสั่งของโจวชิง
เพื่อแค่ว่าเรื่องนี้มันทำให้ศิษย์ทั้งหลายรู้สึกเสียดายแทนอย่างมาก
ดังเช่นคนธรรมดาสามัญที่ได้สิทธิ์ขอทองสิบเกวียนรถ แต่กลับขอเหรียญทองแดงกลับมาแค่เหรียญเดียว
โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ทุกผู้คนต่างได้แค่ฝันถึง แต่เย่หยวนกลับไม่คิดจะให้ค่าสนใจมันแม้แต่น้อย
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้รู้เลยว่าในสายตาของเย่หยวนแล้วเรื่องครั้งนี้มันไม่ได้มีค่าใหญ่โตใดๆ เลย
ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะ วิชาฝีมือหรือโอสถใดๆ มันล้วนแล้วแต่ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน
นับแต่วันนั้นมาทุกอย่างในนิกายเงาจันทร์เริ่มกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
เจ้านิกายโจวชิงและเหล่าเก้ายอดผู้อาวุโสต่างเริ่มเข้าสู่การเก็บตัว เสียงกลองในครั้งนี้มันจุดประกายชีวิตและความรู้ให้แก่พวกเขาอย่างมากมาย พวกเขาจึงต้องใช้เวลาอีกมากในการที่จะวิเคราะห์และนำความรู้เหล่านี้มาพัฒนาตน
ตอนนี้ศิษย์อีกหลายต่อหลายคนก็เริ่มเข้าสู่การเก็บตัวเช่นกัน
หลังจากวันนั้นมานิกายเงาจันทร์มันจึงดูเงียบเหงากว่าเก่าไปมาก
แต่วันนี้กลับมีเสียงพิณเจ็ดสายเล่นบรรเลงขึ้นมาบนยอดเพลิงเมฆาด้วยท่วงทำนองที่อ่อนไหวและนุ่มนวล
เสียงพิณที่บรรเลงนี้มันเปี่ยมไปด้วยความรักใครอย่างไม่ต้องสงสัย แตกต่างจากเสียงเพลงบรรเลงแห่งความโศกเศร้าและเสียใจในครั้งก่อนมาก
เสียงพิณนั้นเล่นออกมาด้วยใจของนักดนตรี หากคนเล่นมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เสียงที่พิณส่งออกมามันก็ย่อมเปลี่ยนตาม
เหล่าผู้คนที่ถูกเสียงพิณนั้นดึงดูดกำลังค่อยๆ เดินขึ้นยอดเพลิงเมฆาไปอย่างลืมตัว
เมื่อเพลงบรรเลงจบลง ไป่หลี่ชิงหยานก็พูดขึ้นด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง “นี่คือเพลงที่ข้าติดเจ้าไว้ ตอนนี้ถือว่าข้าใช้คืนมันแล้ว”
เย่หยวนยิ้มตอบ “แม่นางไป่หลี่ช่างมีวิชาพิณที่เหนือล้ำ ดูท่าเรื่องที่ติดค้างกันไว้ครานั้นมันจะคุ้มค่ากับเพลงนี้จริงๆ”
ไป่หลี่ชิงหยานเม้มปากออกมาเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงอมชมพู “เจ้าคนชั่วร้าย ยังคงน่าเกลียดชังเหมือนเดิม!”
เย่หยวนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกมึนงงขึ้นมา “ทำไมคำชมของข้ามันจึงเป็นความชั่วร้ายกัน? หรือข้าต้องบอกว่าแม่นางไป่หลี่นั้นช่างเล่นได้ห่วยแตก?”
ไป่หลี่ชิงหยานเบิกตาถลนกลับมา “เจ้ากล้า?!”
เย่หยวนได้แต่ยืนนิ่งพร้อมยกมือขึ้นมาโบกปัด “เอาล่ะๆ ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน ในเมื่อข้าได้ฟังเสียงพิณของแม่นางแล้วพวกเราก็ควรกลับไปฝึกฝนตัวต่อ”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของไป่หลี่ชิงหยานแสดงความเสียดายออกมาในทันที “เจ้าตีกลองเจ็ดดาวหมีใหญ่ได้แท้ๆ แต่ทำไมเจ้าต้องใช้มันเพื่อสังหารเชียนเย่ด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าคุณประโยชน์ที่เจ้าอาจได้รับมันยิ่งใหญ่แค่ไหน?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “นิกายนั้นไม่มีอะไรที่จะมอบให้ข้าได้ สำหรับข้ามันจึงเหมาะสมแล้วที่จะใช้เรื่องราวนี้ในการสังหารเชียนเย่เสีย”
ไป่หลี่ชิงหยานผงะไปทันทีที่ได้ยิน นางอดไม่ได้ที่จะมองดูใบหน้าของเย่หยวนด้วยความมึนงงสงสัย
ไอ้หมอนี่มันช่างอวดอ้างตัวเองได้เก่งเกินใครจริงๆ!
นิกายเงาจันทร์นั้นคือนิกายระดับเทพถ่องแท้ คนตั้งมากมายคิดอยากเข้านิกายแต่ไม่อาจเข้ามาได้ แต่เย่หยวนกลับบอกว่านิกายนั้นไม่มีอะไรที่จะมอบให้เขาได้
“หากนิกายไม่มีอะไรให้เจ้าจริงเจ้าจะเข้านิกายมาทำไมกัน?” ไป่หลี่ชิงหยานอดไม่ได้ที่จะถาม
เย่หยวนตอบ “ข้าเข้านิกายมาย่อมเพื่อสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่”
คำพูดนี้ทำให้ไป่หลี่ชิงหยานต้องเลิกคิ้วสูง “ข้าไป่หลี่ชิงหยานต้องมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรราชันพระเจ้าก่อนจึงได้สิทธิ์มา เจ้านั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว ครานี้มันคงไม่ทันแน่ๆ แล้ว”
ในใจจริงๆ ไป่หลี่ชิงหยานเองก็สงสารเย่หยวนไม่น้อย เพราะเย่หยวนนั้นมีพลังความสามารถที่เพียงพอแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานเพราะพลังบ่มเพาะยังไม่ถึงเกณฑ์ เขาจึงไม่อาจจะที่จะเข้าร่วมได้อย่างเด็ดขาด
ในเวลาสิบปีต่อจากนี้ การจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มันคงเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน
หากตอนนี้เย่หยวนอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวมันก็ยังพอทำเนา
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับมา “การบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าหรอก”
ไป่หลี่ชิงหยานพูดอะไรไม่ออก นางแค่รู้สึกว่าเย่หยวนนั้นช่างโอ้อวดเก่งเสียจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...