อี้ชิงเซียงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาเหล่านั้นมันเปี่ยมไปด้วยความประสงค์ร้ายทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซู่ ทำไม… ทำไมพวกเขาทั้งหลายจึงมองเราเช่นนี้กัน?
ผู้อาวุโสซู่ตอบกลับ “การไปอยู่สวนป่าบนด้วยพลังฝีมือระดับพวกเรามันย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจ เพราะอย่างไรเสียสวนป่าบนนั้นก็ไม่เปิดรับแม้กระทั่งนิกายสว่างชัด จากนี้ไปพวกเจ้าจงระวังตัวให้มากเถอะ”
อี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนหน้าถอดสีไปทันที เวลาหลายวันมานี้พวกเขาทั้งหลายได้รับผลประโยชน์เพิ่มพลังการบ่มเพาะไปมากจากการพักอยู่ในสวนป่าบน
แต่ประโยชน์นี้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย
การต้อนรับที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของตนนั้นมันมักทำให้เกิดความอิจฉาไม่พอใจจากรอยข้างเสมอ
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายลืมเลือนไป
“นี่มัน… มันความผิดเย่หยวน!” เจียงเชอเหยียนบอก
อี้ชิงเซียงเองก็บ่นตาม “ใช่ ไอ้หมอนี่มันช่างชอบยืนอยู่ท่ามกลางความสนใจจริงๆ!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ
นี่แหละคือมนุษย์ เวลาได้ผลประโยชน์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอมีปัญหาใดๆ มันก็ล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น
แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับสวนขึ้น “วันที่พวกเจ้าได้เข้าไปอยู่ยังเป็นตื่นเต้นดีใจกันจนตัวสั่น หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนพวกเราทั้งหลายคงได้ไปนอนอยู่ในโรงฟืน! ในฐานะศิษย์นิกายระดับเทพถ่องแท้พวกเจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรืออย่างไร?”
จากนั้นตงน้อยที่กำลังกอดเจ้าหมูสมบัติอยู่ก็พูดเสริมขึ้นด้วยเสียงใสๆ แต่วางท่าราวปรมาจารย์ “พวกเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม? เย่หยวนได้ไปกราบขอร้องให้พวกเจ้าเข้าพักหรือ? หรือพวกเจ้าคิดว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้านั้น หากไม่โดนหมายหัวแล้วจะสามารถผ่านเข้าเป็นศิษย์ในวิหารได้?”
คนทั้งสองแทบสำลักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มารน้อยตัวนี้มันช่างด่าได้ไม่ไว้หน้าผู้คนเสียจริงๆ
คนทั้งสองหันหน้ามามองกันก่อนจะเงียบปากลงไป
เพราะสิ่งที่ตงน้อยว่ามามันก็ไม่ผิด ด้วยพลังฝีมือของพวกเขาแล้วมีหรือที่จะได้สิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ของวิหาร
ตอนที่เขาได้ยินว่าเย่หยวนจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ตงน้อยก็เกิดสนใจและขอตามติดมาดูด้วยให้ได้
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่แต่ละครั้งมันจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่ตายตัวคือหกสิบสี่คน
ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการส่งคนเข้านั้นมันจะแตกต่างกันไปแล้วแต่พลังอำนาจที่นิกายต่างๆ มี
สิทธิ์ของแต่ละนิกายนั้นไม่แน่ชัด แต่ในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ที่ผ่านๆ มานิกายสว่างชัด นิกายปรารถนาและเหล่ายอดนิกายทั้งหลายจะได้รับสิทธิ์ส่งศิษย์เข้างานประมาณเจ็ดถึงแปดคน
ส่วนิกายที่อ่อนแอลงมาก็จะได้รับสิทธิ์ที่น้อยลงตาม
นิกายเงาจันทร์นั้นได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาสี่ที่ มันไม่นับว่ามากมายนักเพราะฉะนั้นจึงจัดได้อยู่ในกลุ่มไร้ความหวัง
เพราะอย่างไรเสียคนทั้งหกสิบสี่นี้ ผู้จะเข้าวิหารได้จริงๆ มันก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด การชุมนุมจะจัดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน บางครั้งก็อาจยาวนานเป็นปี
เหล่าศิษย์ที่ได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่จะต่อสู้กันทุกวัน แต่วันละห้าคู่จนกว่าศิษย์ทั้งหลายจะได้สู้กันจนครบ
สุดท้ายผู้ที่ได้รับชัยชนะรวมสูงสุดก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าสู่วิหารไป
การต่อสู้ที่หนักหน่วงเช่นนี้เป็นความท้าทายของเหล่าศิษย์ แต่ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญด้วย
เพราะเหล่าศิษย์ที่มาร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นี้ได้ย่อมเป็นยอดศิษย์ของแต่ละนิกาย ไม่มีศิษย์ธรรมดาๆ หลุดเข้ามาได้แน่
แม้จะเป็นพวกนิกายที่อ่อนแอก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เสมอไป
ในการชุมนุมที่ผ่านๆ มามันมีให้เห็นหลายครั้งที่ศิษย์จากนิกายเล็กๆ จะกลับสามารถชนะศิษย์จากนิกายใหญ่ได้
ที่สำคัญในเวลาหลายเดือนที่การชุมนุมดำเนินไปนี้หลายต่อหลายคนจะเริ่มเรียนรู้และนำจุดแข็งของคู่ต่อสู้มาปรับใช้กับตัว ทำให้ฝีมือพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดจนสุดท้ายอาจขึ้นไปติดห้าอันดับแรก
เรื่องเช่นนี้เองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ตู้หรูเฟิงนั้นยกจารึกหยกขึ้นมากล่าวด้วยเสียงดังชัด “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหลายตอนนี้จงปล่อยปราณเทวะของตนออกมาใส่จารึกหยกนี้ จารึกหยกนี้จะทำการช่วยพวกเจ้าทั้งหลายจับคู่แข่งขันให้เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...