ความเจริญของเมืองหลวงจักรพรรดินั้นมันแตกต่างอย่างที่ไม่อาจนำเมืองจักรพรรดิใดๆ มาเทียบเคียงได้
เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนั้นกินพื้นที่กว้างขวาง ยิ่งใหญ่กว่าเมืองจักรพรรดิทั่วๆ ไปหลายเท่าตัวนัก
เหล่านักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าที่หาได้ยากยิ่งในเมืองจักรพรรดินั้นมีให้เห็นทั่วไปในเมืองหลวงจักรพรรดิ
ต่อให้เป็นนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ยังพบเจอได้ไม่ยากเย็นนัก
ในร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งมีเด็กชายอายุราวแปดถึงเก้าขวบอุ้มหมูสีชมพูอ่อนนั่งอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง
แน่นอนว่าพวกเขานั้นคือเย่หยวนและตงน้อยผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากมิติอนัตตาก่อไผ่ได้ไม่นาน
“เด็กน้อย ทำไมเราจึงมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้กัน?” ตงน้อยถาม
พวกเขาทั้งหลายนั้นล่องลอยติดอยู่ในดวงใจมิตินานนับสิบปีกว่าจะออกมายังมหาพิภพถงเทียนได้
แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายออกมาได้ พวกเขากลับพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในเทือกเขาใกล้ๆ กับเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยาน
เดิมทีเย่หยวนนั้นคิดที่จะมุ่งหน้าตรงกลับไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันทีแต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดหวู่เฉินกลับบอกให้เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานก่อน
เย่หยวนเองก็ถามออกไปถึงเหตุผลแต่ตัวหวู่เฉินกลับบอกว่าไม่ทราบ และรู้แค่ว่าตัวเองรู้สึกได้ว่ากำลังมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นใกล้ๆ เมืองหลวงจักรพรรดิพันทะยานนี้ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งหลาย
เรื่องความรู้สึกเหนือธรรมชาติของหวู่เฉินนี้แม้เย่หยวนจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรมากมาย
เพราะสัญชาตญาณของนักยุทธนั้นมักแม่นยำเสมอ
ตงน้อยถามคำถามที่เย่หยวนเองก็ไม่อาจตอบได้ออกมา เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป “อย่าถามเลย ข้าก็ไม่รู้”
ตงน้อยไม่คิดตื่นตกใจใดๆ และแค่ถามขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเราจะเอาอย่างไรต่อกันดี?”
เย่หยวนหยุดคิดไปพักหนึ่ง “หาที่หลับนอนก่อนล่ะนะ ข้าว่าอีกไม่นานเรื่องใดๆ ก็คงได้รู้ผลกันแล้ว”
ร้านนี้มันไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่อาหารของพวกเขานั้นแสนอร่อย เย่หยวนและตงน้อยจึงรีบกัดกิมันด้วยท่าทางแสนเอร็ดอร่อย
เมื่อมาถึงระดับของเย่หยวนแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องกินอาหารใดๆ อีก แต่มันก็ยังมีนักยุทธอีกมากมายที่ชอบดื่มสุราและกินเนื้อในร้านต่างๆ
หนึ่งคือสุราและเนื้ออาหารทั้งหลายนั้นมันมักไม่ใช่อาหารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งของที่จะช่วยในการบ่มเพาะของพวกเขา
อย่างที่สองคือเพื่อคลายความเครียดจากการบ่มเพาะนานปี ตอบสนองความต้องการตั้งเดิม
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังกินกันไปอย่างเอร็ดอร่อยก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ ร้านนี้มันช่างมีกิจการดีเหลือเกิน ข้าขอนั่งโต๊ะร่วมกับท่านด้วยได้หรือไม่? อาหารและสุราของท่านนั้นข้าจะเป็นคนจ่ายให้เอง”
เย่หยวนเงยหน้าขึ้นมามองดูชายหนุ่มคนนี้และพบว่าใบหน้าของเขานั้นไม่มีท่าทางอวดดีอวดรวยใดๆ แตกต่างจากพวกคุณหนูบ้านคนรวยทั้งหลายที่เขาเคยเจอ
ตอนที่เขาบอกว่าจะเลี้ยง ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจและไม่มีท่าทางจะโอ้อวดใดๆ ด้วย
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงพยักหน้ารับและทำท่าเชิญ “เชิญนั่ง”
ชายหนุ่มรูปงามคนนั้นแสดงท่าทีดีอกดีใจออกมาก่อนจะรีบตะโกนสั่ง “ข้าขอชุดชามและตะเกียบพร้อมอาหารที่ดีที่สุดมาหนึ่งชุด”
พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้เย่หยวน “ข้ามีนามว่าเล้งซู่ ท่านพี่ท่านนี้มีนามว่าใดหรือ?”
“เย่หยวน”
“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นพี่เย่นี่เอง การพบพานของเรานี้คงเป็นเพราะชะตา! มา ดื่มกัน!”
เย่หยวนยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับอีกฝ่ายและดื่มลงจนหมดภายในอึกเดียว
“ฮ่าๆ เยี่ยม! พี่เย่สุราสิบชามคะมำของร้านนี้มันแรงไม่น้อย เรามาดื่มแข่งกันโดยไม่ใช้ปราณเทวะหน่อยไหม?”
คนที่มายังร้านแห่งนี้ย่อมมาเพื่อดื่มกินหาความสุข
หากมีผู้ใดใช้ปราณเทวะกลั่นหลอมสุรามันย่อมทำให้เรื่องราวทั้งหลายไร้ความหมายไปทันที
แต่หากอยากจะให้นภาสวรรค์ต้องเมาแล้วมันคงมิใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
การที่จะทำให้ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ล้มคะมำได้ในสิบชาม มันย่อมบ่งบอกถึงความแรงของสุราชนิดนี้อย่างมาก
เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาล่ะ ดื่ม!”
พูดจบคนทั้งสองก็ยกแก้วขึ้นอีกครั้งทันที
ในพริบตา สิบชามก็ลงไปอยู่ในทองของพวกเขาโดยที่ทั้งสองกลับไม่มีท่าทีมึนเมาใดๆ
เรื่องนี้ทำให้ลูกค้าที่นั่งกันอยู่เริ่มหันมามองให้ความสนใจเย่หยวนและเล้งซู่ที่กำลังยกสุราขึ้นดื่มอย่างไม่มีหยุดยั้งด้วยปากที่เปิดอ้าค้างด้วยความตกตะลึง
“เอ๋? นั่นมันนายน้อยตระกูลเล้งมิใช่หรือ? ไม่แปลกเลยที่จะดื่มได้ขนาดนี้ได้ยินว่าเขาเคยดื่มสุราสิบชามคะมำนี้ไปได้ถึงสี่สิบหกชาม! ตั้งแต่นั้นมาผู้คนต่างก็เรียกเขาว่าเป็นเทพแห่งสุรา!”
“แต่ว่าเจ้าหนุ่มที่นั่งข้างเขาเองนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงขั้นสามารถยืนสู้กับนายน้อยเล้งได้ขนาดนี้!”
“หึ ไม่มีทางล่ะ! นามของสุราสิบชามคะมำนั้นไม่ได้ตั้งมาเล่นๆ หลังผ่านชามที่สิบไปได้ฤทธิ์ของสุรามันก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณ ข้าว่าอย่างมากเขาก็อยู่ได้แต่ยี่สิบชามแหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...