มุมปากของตงน้อยตกลงมาและกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าเด็กคนนี้มันช่างชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียจริงๆ!”
ในสายตาของนักยุทธแล้ว สายสัมพันธ์ที่จะก่อขึ้นกับเรื่องเช่นนี้มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง
ไม่ว่าอย่างไรเสียนอนเมาอยู่แค่คืนเดียวมันคงไม่ทำให้ใครถึงตาย
ที่สำคัญชายคนนั้นยังบอกมาด้วยว่าสถานการณ์ของตระกูลเล้งนั้นมันไม่ค่อยดีนักในตอนนี้
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับไป “แค่ส่งคนเมากลับบ้าน เรื่องเล็กน้อยน่า”
ตงน้อยได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างที่ไม่คิดจะเถียงสิ่งใด
ดูแล้วมันก็ชัดเจนมากว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้มากแค่ไหน
‘ฟุบ!’
จู่ๆ ก็มีสองเงาร่างบินลงมาจากท้องฟ้าบินหน้าและหลังของเย่หยวนไว้
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้ไม่ต่างจากหนูติดจั่น
ตงน้อยถอนหายใจออกมาพร้อมพูดบอก “นั่นไง ปัญหามาถึงแล้ว”
แต่ว่าใบหน้านั้นของเขากลับไม่มีท่าทางกังวลมากมาย
แต่เมื่อเห็นการมาถึงนี้เย่หยวนกลับทำหน้าดำมืดขึ้น
เพราะคนที่มาดักทางของเขาในตอนนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหน ชายคนที่บอกชี้ทางให้เขาในร้านสุรานั่นเอง
ส่วนอีกคนก็เป็นชายที่ร่วมโต๊ะกับเขาคนนั้น
ชายคนนั้นมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้าทำดีมากที่พามันมาส่งถึงตรงนี้ วางมันลงเสียแล้วเจ้าจงไป”
เย่หยวนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดชักนำข้ามาที่นี่? ที่แท้ปัญหาที่เจ้าเตือนมันก็คือตัวเจ้านี่เอง”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “ข้ารับเงินผู้อื่นมาเพื่อแก้ปัญหาให้ ปัญหาของมันนั้นมิใช่ปัญหาของเจ้า แต่หากเจ้าดื้อด้านอยากรับปัญหาไปด้วยมันก็ย่อมได้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็คงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว”
เมื่อใดก็ตามที่นักยุทธมึนมาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเองก็จะเข้าสู่สถานะสงบนิ่งไปด้วย และย่อมไม่มีทางที่จะรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายจากภายนอกเลย
เพราะฉะนั้นหากผู้คนไม่ได้มีเรื่องใดให้หนักใจมากจริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่คิดจะดื่มจนเมาอย่างเล้งซู่
สภาพของเล้งซู่ในตอนนี้มันเหมือนหมูที่นอนรอให้คนมาเชือด
เย่หยวนมองดูชายคนนั้นอย่างเลือดเย็น “หากเป็นเช่นนั้นการที่เจ้าบอกให้ข้าไปได้มันก็เพื่อที่จะให้ข้าไม่ทันระวังตัวใช่ไหม? เพราะดูท่าเจ้าจะเป็นคนเจ้าแผนการและทำงานละเอียดรอบคอบทีเดียว”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “เด็กคนนี้เจ้ามันช่างฉลาดแท้! แต่น่าเสียดายที่นิสัยเจ้ามันไม่เหมาะกับการเป็นนักยุทธ ที่แห่งนี้คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความอ่อนโยนของเจ้ามันย่อมทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี! ชาติหน้าขอให้เกิดมาโหดร้ายกว่านี้ก็แล้วกันนะ ฮ่าๆๆ…”
คนเรานั้นไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มาก เมื่อทำการพูดหรือลงมือใดๆ ย่อมห้ามลงมือให้เต็มแรง เก็บไม้ตายเผื่อไว้บ้าง นั้นคือความรู้ความเข้าใจที่นักยุทธทุกคนต่างต้องจำให้ขึ้นใจ
แต่เย่หยวนกลับดูเหมือนไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย
หรือจะบอกว่าเขารู้ แต่กลับไม่ยอมทำ
คน ‘โง่’ เช่นนี้ย่อมจะได้ตายลงไม่ช้าก็เร็ว
เย่หยวนมองดูเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามั่นใจเหลือเกินราวกับว่าจะชนะข้าได้แล้ว”
ชายคนนั้นยิ้มรับ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? เจ้าคงไม่คิดว่าตัวเอง นภาสวรรค์หนึ่งดาว จะมาขัดขืนอะไรได้หรอกใช่ไหม? เจ้าอย่าได้ไปพยายามคิดปลุกเล้งซู่เลยด้วย มันไม่มีประโยชน์หรอก”
ชายคนนี้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวขั้นต้น ส่วนชายที่ยืนปิดด้านหลังนั้นเป็นนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุด
เย่หยวนนั้นเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุด ย่อมไม่มีทางใดที่จะต่อสู้ขัดขืนเขาได้
“โง่เง่า!” ตงน้อยด่าว่าออกมา
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ได้ยินไหม? แม้แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังด่าว่าเจ้าเป็นคนโง่! แม้เจ้าจะตาย เจ้ากลับคิดจะลากเด็กน้อยคนนี้ไปด้วย น่าเสียใจจริงๆ!”
ตงน้อยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา เจ้าหมอนี่มันช่างโง่เง่าจนถึงที่สุดจริงๆ ได้ยินเช่นนี้แล้วทำไมยังเข้าใจไปแบบนั้นได้?!
เย่หยวนวางเล้งซู่ลงใกล้ๆ ตัวตงน้อยและบอก “ดูเขาหน่อยนะ ข้าจะรีบจัดการ”
“อ่า” ตงน้อยบอกอย่างสบายๆ ไม่มีท่าทีกังวล
พูดจบเย่หยวนก็หันหน้าไปหาชายคนนั้นอีกครั้ง “นี่ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง บ้านตระกูลเล้งนี่ผ่านตรอกนี้ไปจริงๆ ใช่ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...