บนยอดทหัยเมฆานี้มันกำลังมีชายสองคนนั่งคุยกันไปพร้อมดื่มชาอย่างสบายอารมณ์
กลิ่นของชานี้มันหอมล้ำ
หนึ่งนั้นเป็นชายแก่ร่างผอมบางที่หลับตามาตลอดด้วยท่าทางเหมือนคนที่กำลังหลับนอน
ชายร่างผอมผู้นั้นกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่าถาม สองคำนี้ เจ้าแก้มันได้หรือยัง?”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นสวมชุดสีฟ้าตอบกลับมา “เจ้าเฒ่า เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายล้านปีแล้วเจ้าจะยังไม่ปล่อยข้าไปอีกหรือ?”
ชายแก่ร่างผอมบางจึงตอบกลับมา “เส้นทางเต๋านั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความพ่ายแพ้เป็นทุน หากเจ้าไม่อาจผ่านมันไปได้แล้วมีหรือที่จะยังแสวงเต๋าใดๆ ได้?”
ชายวัยกลางคนนั้นแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมาอย่างชัดเจนเมื่อได้ยิน คำพูดสองคำนั้นมันได้ถ่วงรั้งเขาไว้นานนับล้านปีทำให้เขาเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไป
เมื่อเขาได้เรียนรู้ถึงความจริงมันก็สายจนเกินไปแล้ว
การพลาดจังหวะที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะไปนั้นมันย่อมจะทำให้ความเร็วการบ่มเพาะเรียนรู้ของเขาช้าลงไปมาก
เหมือนดั่งเย่หยวนเวลานี้เขามีความเร็วเหนือฟ้าดินไม่มีใครเทียบแต่หากมันพลาดจังหวะนี้ไปแล้วมันอาจจะทำให้เขาช้าลงไปนับหมื่นๆ แสนๆ หรือล้านๆ ปี
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันจะโทษแค่โอสถบรรพกาลก็คงไม่ได้ เพราะตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเองก็มีเต๋าที่บกพร่องมาแต่เดิม เพียงแค่ว่าจุดบกพร่องนั้นมันถูกโอสถบรรพกาลจับไว้ได้
“อย่าถาม สองคำนั้นข้าย่อมไม่อาจแก้ได้แต่เย่หยวนนั้นแก้มันลง ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่เจ้าคนเฒ่าๆ อย่างเจ้านี้จะมาจัดงานใหญ่โตอย่างงานประชุมโอสถสหภูมิภาคขึ้น?”
“ดาวรุ่งพุ่งแรงเช่นนี้มีหรือที่บรรพกาลผู้นี้จะปล่อยเฉยได้? รองมหาปราชญ์นั้นหากเทียบกับเจ้าแล้วใครแข็งแกร่งกว่ากันเล่า?”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหรี่ตาลงมองชายแก่ร่างผอมนั้นอย่างรุนแรง “หากเจ้าลองดูเองแล้วมีหรือที่จะไม่รู้?”
ระหว่างที่คุยกันไปนั้นในที่สุดมันก็มีเงาร่างหลายต่อหลายคนเดินขึ้นมาถึงและคนที่นำกลุ่มมานั้นมันย่อมจะเป็นเย่หยวนและจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อ
เมื่อเขาเห็นตัวชายแก่ร่างผอมบางนั้นเย่หยวนก็ไม่อาจจะละสายตาไปได้
ชายแก่ผู้นี้หลับตาอยู่ตลอดด้วยคลื่นพลังอ่อนแอราวกับว่าจะตายลงไปได้ทุกเมื่อ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงได้ทำให้เย่หยวนรู้สึกถึงความลึกลับอย่างไม่อาจอธิบาย
ความรู้สึกระดับนี้มันคือความรู้สึกที่เขาจะสัมผัสได้จากผู้แข็งแกร่งอย่างที่ไม่อาจวัด!
เย่หยวนนั้นรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าชายแก่ผอมบางผู้นี้มิใช่ผู้คนแต่เป็นโอสถ โอสถแห่งยอดเต๋า
แม้แต่ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเองก็ยังไม่ทำให้เย่หยวนรู้สึกถึงอะไรเช่นนี้มาก่อน
มันราวกับว่าเฒ่าผู้นี้เกิดมาเป็นโอสถ ราวกับว่า… เขานั้นคือเต๋าโอสถเอง
ชายแก่ร่างผอมกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบๆ “สหายหนุ่มเย่ เชิญนั่งเถอะ”
เย่หยวนเองก็ไม่คิดปฏิเสธเกรงใจใดๆ เดินลงไปนั่งข้างๆ มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลพร้อมๆ กับเหล่าบรรพกาลทั้งหลายที่ต่างเข้านั่งประจำที่ตน
“สหายหนุ่มเย่ เราเคยพบกันมาก่อน”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ในอย่าถาม”
โอสถบรรพกาลในเวลานั้นมีพลังสุดแสนรุนแรงล้ำฟ้าดิน พลังเขานั้นมันทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าเทพเจ้าได้จุติลงมาบนผืนดิน
แต่เย่หยวนกลับไม่เคยนึกฝันว่าตัวจริงของโอสถบรรพกาลกลับจะเป็นชายแก่ร่างผอมบางดูท่าใกล้ตายเช่นนี้
วินาทีต่อมาตัวโอสถบรรพกาลนั้นไม่ได้แสดงท่าทีขยับใดๆ แต่ตัวของเขากลับหายไปจากจุดที่นั่ง
พร้อมๆ กันนั้นมันก็ปรากฏเกมกระดานใหญ่ขึ้นมาบนท้องฟ้ายิ่งใหญ่จนเห็นได้ทั่วอาณาจักรทหัยเมฆา
จากนั้นมันก็ปรากฏร่างของชายแก่ผอมบางผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่ด้านหนึ่งของกระดาน
เย่หยวนที่ได้เห็นก็ต้องยิ้มกว้างลุกขึ้นยืนเตรียมก้าวเท้าขึ้นฟ้าแต่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลกลับกล่าวทักขึ้นมาก่อน “ระวังด้วย!”
เย่หยวนหันหน้ากลับมามองด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลดูจะยังกลัวอยู่!”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงพยักหน้ารับออกมา “ใช่แล้ว เฒ่าผู้นี้คิดว่าตนเองจะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อได้เจอกันอีกครั้งเฒ่าผู้นี้ก็กลับยังสั่นกลัวไม่น้อย แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ ก็คือตัวเขานั้นก็เก่งกาจขึ้นกว่าก่อนมาก!”
โอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นต่างล้วนไม่ได้พูดคุยเล่นๆ กันก่อนหน้า
แต่ละคำพูดที่กล่าวออกมานั้นมันล้วนแล้วแต่เป็นสงครามประสาทอย่างถึงที่สุด
แต่ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นไม่อาจจะชิงความได้เปรียบมาได้เลย
เขานั้นคิดว่าผ่านมานับล้านปีนี้ปมในจิตใจของเขามันจะคลี่คลายไปแล้ว
แต่เมื่อได้เห็นหน้าโอสถบรรพกาลอีกครั้ง เขาก็ได้ค้นพบว่าแท้จริงจิตเต๋าของเขานั้นยังไม่อาจจะเทียบเคียงได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นไม่ได้กลัวว่าเย่หยวนจะแพ้ แต่เขานั้นกลัวว่าจิตเต๋าของเย่หยวนจะกลายมามีสภาพเป็นอย่างตน
เย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์ที่ล้ำกว่าเขาไปมาก เขานั้นเชื่อว่าโอสถบรรพกาลคงยิ่งลงมือหนักหน่วง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...