“ตายจริงๆ… ช่างเป็นคำบัญชาเต๋าสวรรค์ที่รุนแรงนัก!”
จางเหลียนกล่าวขึ้นมาอย่างไม่คิดอยากเชื่อ ในหน้าสวยๆ ของเขานั้นมันเปี่ยมล้นไปด้วยความตกตะลึง
ภายใต้พลังของคำบัญชาเต๋าสวรรค์นั้นเจ้าราชันสัตว์ร้ายซวนสู้ได้ถูกเย่หยวนฆ่าสังหารลงทันที
“เขานั้นก็แค่ลองสัมผัสกับพลังของแนวคิดแห่งกาลเวลาอยู่เท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขายอมต่อสู้กับราชันสัตว์ร้ายซวนสู้มายาวนาน หากเขาคิดลงมือจริงแล้วเจ้าราชันสัตว์ร้ายซวนสู้มันคงตายลงตั้งแต่ต้น” ว่านเจิ้นกล่าว
จางเหลียนนั้นได้แต่อ้าปากค้าง
เขานั้นมองดูเย่หยวนมาตลอดและรู้ว่าเย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์อย่างที่ไม่อาจประมาทได้
แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะยังมีไม้ตายที่รุนแรงปานนี้อยู่
“สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดโดยแท้! เจ้าเด็กคนนี้มันจะมากพรสวรรค์เกินไปแล้ว หากมิใช่เพราะพลังบ่มเพาะของมันยังต่ำต้อยทั้งเจ้าทั้งข้าก็คงไม่มีทางรับมือต่อสู้มันได้!” จางเหลียนกล่าว
เขานั้นได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดว่านเจิ้นจึงได้คิดสนใจมาดูเย่หยวน
เพราะเจ้าเด็กคนนี้มันจะกลายเป็นภัยร้ายแก่พวกเขาในวันหน้าแน่นอน!
“สหายเต๋าทั้งสองดูมานานแล้วจะไม่มาทักทายกันหน่อยหรือ?”
ในเวลานั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา แน่นอนแล้วว่ามันย่อมเป็นเสียงเย่หยวน
จางเหลียนนั้นผงะไปเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้มันรู้ได้อย่างไรว่าเรามองดูเรื่องราวอยู่?”
มีหรือที่เขาจะรู้ได้ว่าแม้แต่สายตาของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ตัวเย่หยวนคนนี้ก็ยังสัมผัสถึงมันได้มาแล้ว
ว่านเจิ้นนั้นไม่คิดตื่นตะลึงใดๆ และตอบกลับมา “ในเมื่อเขารู้เราก็ไปทักทายเขาเสียหน่อยแล้วกัน”
เมื่อได้ยินนามของพวกว่านเจิ้นทั้งสองเย่หยวนเองก็ต้องตื่นตะลึงไปไม่น้อย
เพราะแม้เขาจะไม่เคยได้ยินนามของจางเหลียนใดๆ มาก่อน แต่นามของว่านเจิ้นนั้นเขาได้ยินมันมาจนหูแทบชาแล้วในเวลาหลายปีที่เขาไล่ล่าสัตว์ร้ายซวนสู้
หลายปีมานี้คนทั้งหลายมักจะชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับว่านเจิ้นอย่างที่เขาก็ไม่รู้ต้องตอบกลับไปว่าอย่างไร
นั่นจึงทำให้เย่หยวนได้รู้จักนามของว่านเจิ้นนี้อย่างดีแม้จะไม่ได้คิดอยากรู้ใดๆ
แต่เมื่อได้มาเจอกันวันนี้ อีกฝ่ายนั้นกลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดกว่าที่เขาคาดไว้
สมชื่อว่าเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งเมืองเมฆหนุน
“ว่านผู้นี้สนใจเจ้ามานานแสนนานแล้ว” ว่านเจิ้นกล่าวออกมาตรงๆ
เย่หยวนที่ได้ยินก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับไป “พี่ว่านนั้นหวังให้การบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาของข้าสำเร็จหรือล้มเหลวเล่า?”
ว่านเจิ้นตอบกลับมาตรงๆ “ทั้งคู่ล่ะมั้ง”
เย่หยวนที่ได้ยินก็ต้องหันหน้ากลับมาอย่างตกตะลึง “พี่ว่านช่างซื่อตรงนัก แต่เรื่องที่พี่ว่านยังหวังให้เย่ผู้นี้บ่มเพาะมันได้สำเร็จนี้ทำให้เย่ผู้นี้ตื่นตะลึงไม่น้อย”
ท่าทางของว่านเจิ้นนี้มันทำให้เย่หยวนประทับใจไม่น้อย
เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้หลงตัวเหมือนอัจฉริยะคนอื่นๆ และยังเป็นคนมีเหตุมีผล
คำพูดของเขานั้นมันบอกว่าทั้งหวังและไม่หวัง
ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งนั้นยังทำไม่ได้ หากคนอื่นทำมันได้แล้วมันคงส่งผลกระทบกับจิตใจของเขาไม่น้อย
นั่นมันคือธรรมชาติของผู้คน เย่หยวนเข้าใจมันได้ดี
หากเป็นเขา ตัวเขาก็คงจิตตกไปไม่น้อยเช่นกัน
แต่จิตตกนั้นมันก็แค่จิตตก หากคิดแค้นเคืองอีกฝ่ายนั้นมันเป็นสิ่งที่มีแต่คนชั่วร้ายเท่านั้นคิดทำ
ดูท่าแล้วว่านเจิ้นจะมิใช่คนเช่นนั้นเลย
ส่วนเหตุผลที่เขาหวังให้เย่หยวนสำเร็จนั้นมันเป็นสิ่งที่เย่หยวนสงสัยไม่น้อย
“เผ่ามนุษย์เราต้องการผู้นำที่จะสามารถนำเราเอาชนะเผ่าเทวาได้!” ว่านเจิ้นตอบ
“ข้าไม่นึกเลยว่าพี่ว่านจะคิดถึงเรื่องราวในภาพใหญ่เช่นนั้นไว้ เย่ผู้นี้ขอนับถือ!” เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ
คนทั้งสองนั้นพูดคุยกันไปอย่างมากมายจนทำให้จางเหลียนเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนนอกเข้าไปทุกที
“เด็กน้อย เจ้านั้นมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำ หากเจ้าคิดจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของมนุษย์จริงๆ แล้วเจ้าก็ควรจะผลักให้มันขึ้นถึงระดับต้นกำเนิดเสียก่อน! เวลานี้เจ้าทำการจับปลาสองมือ! ที่สำคัญเจ้าคงไม่ได้คิดว่าแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันง่ายดายใช่หรือไม่? ว่านเจิ้นเจ้าบ้านี่เองก็มากพรสวรรค์ไม่น้อยนะ!” จางเหลียนกล่าว
เมื่อว่านเจิ้นได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดถามขึ้นไม่ได้เช่นกัน “ที่จางเหลียนว่ามามันก็ถูก ด้วยความสามารถของเจ้านั้นเจ้าคงไม่คิดทำเรื่องราวโง่ๆ เช่นนี้อย่างไร้เหตุแน่ เพราะฉะนั้นว่านผู้นี้จึงสงสัยเหลือเกินว่าทำไมเจ้าจึงได้คิดมาบ่มเพาะแนวคิดแห่งกาลเวลาเช่นนี้?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...