“พวกฉินเชานั้นกลับทำได้จริง! มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“สิ่งที่น่ากลัวนั้นมันมิใช่เรื่องที่ทำสำเร็จ แต่เป็นเรื่องที่ไม่มีข่าวใดส่งออกจากวังสวรรค์เฝ้าเลยต่างหาก!”
“เจ้าหนุ่มคนนั้นมันเป็นใครกันแน่? เขาทำมันได้อย่างไรกัน?”
…
เกิดความสงสัยมากมายล้นขึ้นมาในใจของคนนิกายม่วงน้อย
พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดหวังจะลากคอฉินเชากลับมาเมื่อจะได้ถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เจ้าหนุ่มคนนั้นมันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเกินไป
กำลังของเขานั้นมันเหนือล้ำจนทำให้ขนบนร่างของผู้คนต้องลุกตั้ง
ลึกลับจนเกินหยั่ง!
ในดินแดนฟ้าใต้นี้มันมีเพียงแค่นิกายม่วงน้อยเท่านั้นที่รู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลัง
แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย
โชคยังดีที่ข่าวใดๆ นั้นไม่หลุดรอดออกไป เท่านี้อย่างน้อยๆ นิกายม่วงน้อยก็คงไม่ถูกจับเข้าไปเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราว
เพราะว่าทางเผ่าเทวานั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ย่อมจะไม่มีทางมาตามสืบจากพวกเขาไปได้
แต่ตัวโมชิงซานนั้นต้องขมวดคิ้วแน่นนึกย้อนไปถึงเรื่องราวการทำลายวังสวรรค์เฝ้านั้น อีกไม่นานเบื้องบนเองก็คงรับรู้แล้ว
ถึงเวลานั้นวังสวรรค์เฝ้าใต้คงไม่อยู่เฉย นิกายค่ายสำนักไหนจะฉิบหายคงไม่อาจรู้ได้
“ท่านเจ้านิกาย ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” ระหว่างการถกเถียงของเหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นมันก็มีคนหันไปสังเกตเห็นสีหน้าและความเงียบงันรอบตัวโมชิงซานจนอดถามขึ้นไม่ได้
โมชิงซานผงะไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา “ข้าแค่คิดว่า ที่แท้แล้วเผ่าเทวามันก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน!”
จู่ๆ มันก็เกิดความเงียบงันขึ้นมาหลังคนทั้งนิกายม่วงน้อยได้ยินคำนั้น
ใช่แล้ว ที่แท้แล้วเผ่าเทวามันไม่ได้ไร้เทียมทาน!
ที่แท้แล้วมันก็แค่เผ่าที่เก่งกาจ แต่ก็ตายเป็น!
คำพูดของโมชิงซานนี้มันเหมือนโรคร้ายที่ติดลงไปในจิตใจของทุกผู้คน
แต่เขานั้นไม่คิดสนใจความเงียบงันนี้และกล่าวขึ้นต่อ “หลายวันมานี้ข้าเอาแต่คิดถึงคำของฉินเชามัน ยิ่งคิดไปข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไร้ความเป็นคน! ข้านั้นไม่กล้าจะปกป้องแม้แต่ลูกตัวเอง ยังจะมีหน้ามาเรียกตนเองว่าคนได้หรือ? ที่เขาว่ามานั้นมันถูกทุกอย่าง เรานั้นคือผู้คน มิใช่สัตว์เลี้ยงของเผ่าเทวามัน! เรานั้นถูกเลี้ยงดูมาอย่างหนักหน่วงจนลืมเรื่องนั้นไปเสียแล้ว! นี่มันคงเป็นสิ่งที่เผ่าเทวาทั้งหลายมันหวังไว้แล้วใช่หรือไม่เล่า?”
เสียงหนึ่งกล่าวตอบขึ้นมา “แต่ท่านเจ้านิกาย แม้เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นจะทำได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้ด้วย! เผ่าเทวามันเก่งกาจจนเกินไป!”
โมชิงซานพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเก่งขึ้นกว่านี้!”
คำพูดทำนองเดียวกันนี้มันเกิดขึ้นในหลายๆ นิกายค่ายสำนักทั่วทั้งฟ้าใต้
การทำลายวังสวรรค์เฝ้าของเย่หยวนนี้มันเหมือนดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลงสู่จิตใจของคนทั้งฟ้าใต้!
เผ่าพันธุ์ทั้งหลายนั้นอ่อนแอ คิดมองเผ่าเทวาเป็นตัวแทนจากสวรรค์
นี่มันคือเทคนิคการกดขี่ที่เผ่าเทวาสั่งสมบ่มเพาะมานานปีกดดันไม่ให้เผ่าต่างๆ คิดต่อต้านใด
เผ่าเทวาไร้เทียมทาน!
แต่เวลานี้มันกลับมีคนผู้หนึ่งทะยานขึ้นมาทำลายความเชื่อนั่นทิ้งลง มันย่อมจะเกิดแรงกระทบต่อจิตใจของคนทั้งหลายมากมาย
นี่มันเหมือนความหวังท่ามกลางความมืดมิด มันเหมือนเป็นแสงอ่อนๆ ที่เส้นขอบฟ้า
และสักวันหนึ่งแสงนี้มันจะค่อยๆ สว่างจ้าขึ้นส่องสว่างโลกอันมืดมิดนี้อีกครั้ง!
และเย่หยวนนั้นก็คือผู้นำพามาซึ่งตะวันนั้น!
…
ในเขาวิญญาณหนึ่งฉินเชาได้เปลี่ยนกลายเป็นแฟนของเย่หยวนไปอย่างเต็มตัว
เขานั้นมองดูเย่หยวนขยับเคลื่อนดาบไปมาด้วยสายตาเปี่ยมล้นความเคารพ!
เวลานี้เย่หยวนนั้นเป็นเหมือนดั่งจุดสุดยอดของความสวยงาม เก่งกาจเหนือล้ำจนน่าตะลึง
ในศึกนั้นเขาได้สัมผัสถึงความเยือกเย็นและวิชาสังหารในค่ายกลดาบนั้น ทำให้เขานั้นมองเย่หยวนเหมือนดั่งเป็นเทพลงมาจากสวรรค์
เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่ามนุษย์เองก็เก่งกาจได้!
ทูตเต๋าสวรรค์ใดๆ นั้นมันเป็นได้แค่หมูหมาข้างทางเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบของเย่หยวน!
เย่หยวนนั้นสังหารใครไป?
เต๋าสวรรค์แปดลายขั้นสุด! ที่สำคัญยังมิใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว!
คนผู้หนึ่งนี้กลับสังหารคนนับร้อยด้วยตัวคนเดียว!
ประกายความเป็นวีรบุรุษนี้ คลื่นพลังที่แสดงความเย้ยหยันต่อคนทั้งโลกหล้านี้มันได้ทำให้จิตใจของฉินเชาเคารพอย่างไม่อาจห้ามตัว
สิ่งที่เขาตกใจมากกว่านั้นก็คือเย่หยวนกลับยอมจะสอนวิชาดาบให้แก่เขา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...