ซ่งเหวินห่าวนั้นรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวจนไม่อาจจะคิดอะไรได้
พากลับไป! สิ่งที่ยอดอัจฉริยะอย่างเขานั้นได้มามันกลับกลายเป็นสิ่งนี้!
เมื่อลองหันหน้ามองดูแล้วเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายเองก็มีสีหน้าไม่ต่างไปจากเขา
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันถูกต้อง
สามเดือนมานี้เย่หยวนได้สั่งสอนพวกเขาเหมือนๆ กัน
แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่าง
คนที่เลือกนั้นต่างผงาดล้ำฟ้าขึ้นไปได้สิ้น!
ส่วนคนที่เขาไม่เลือกนั้นต่างร่วงตกลงมาสู่แผ่นดินสิ้น!
นี่มันคือปาฏิหาริย์!
หากไม่มีศึกนี้แล้วคนทั้งหลายย่อมจะไม่มีใครคิดเชื่อ
แต่เวลานี้มันกลับไม่มีใครกล้าขัดเย่หยวนอีกต่อไป
ตุบ!
ซ่งเหวินห่าวนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าเย่หยวนทันที “เจ้าหอสาม เหวินห่าวนั้นขอร้องให้ท่านรับข้าเข้าไปด้วยเถอะ! จากวันนี้ไปข้าจะเปลี่ยนตัวเองใหม่เชื่อฟังคำสอนของท่านเจ้าหออย่างไม่คิดขัดอีก!”
ไม่มีใครคิดว่าการกระทำนี้ของซ่งเหวินห่าวมันเหนือความคาดหมายใดๆ
เย่หยวนนั้นได้ใช้ความจริงตอกหน้าทุกผู้คนแล้วว่าเขานั้นคือความถูกต้อง
ซ่งเทียนหยางนั้นได้แต่ต้องชื่นชมอยู่ในใจว่าซ่งเหวินห่าวนั้นกลับกล้าจะวางศักดิ์ศรีของตนเองลง
แต่เย่หยวนนั้นกลับยิ้มตอบกลับไป “ภูเขาแม่น้ำมันเปลี่ยนแปลงได้แต่จิตใจคนนั้นยากจะเปลี่ยน! ข้านั้นจะไม่บอกว่าเจ้านั้นมีนิสัยที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ แต่การจะเปลี่ยนตัวเองนั้นมันเป็นงานที่หนักหนามากล้น! เจ้ากลับไปเถอะ สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือวางศักดิ์ศรีปลอมๆ ของเจ้านั้นลงแล้วพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองไป ไม่เช่นนั้นแล้ววันหน้าเจ้าจะไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นยอดคนได้แน่!”
เย่หยวนนั้นได้เห็นเรื่องราวของโลกมามากมายตั้งแต่วันที่เขาเป็นคนสามัญจนขึ้นมาถึงดินแดนแห่งสวรรค์นี้
หลายคนนั้นจะได้ปรับปรุงตัวเริ่มต้นใหม่ในชั่วข้ามคืนหลังจากพ่ายแพ้
แต่คนเช่นนั้นมันหายากเสียยิ่งกว่าจะตามหาสัตว์ในตำนาน
การเปลี่ยนแปลงนิสัยตนนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป
การเปลี่ยนแปลงตนนั้นมันยากเย็นและกินเวลายิ่งกว่าการบ่มเพาะเสียด้วยซ้ำ
เขานั้นได้เห็นถึงความขมขื่นในดวงตาของซ่งเหวินห่าวนั้น แต่แค่ความขมขื่นนั้นมันไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนไป มันเป็นเพียงแค่จุดที่ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนเท่านั้น
สิ่งที่ซ่งเหวินห่าวต้องทำนั้นมันมิใช่การฝึกฝนที่นี่ แต่มันเป็นการที่เขาต้องออกไปดูโลกภายนอกว่ามันเป็นอย่างไร ผ่านความยากลำบากของชีวิตอย่างแท้จริง
ด้วยนิสัยของเขานี้ต่อให้เย่หยวนจะเก็บเขาเอาไว้ต่อสุดท้ายเขาก็คงกลับไปเป็นคนเดิมในเวลาไม่กี่ปี
คนเช่นนั้นมันย่อมจะไม่มีทางก้าวขึ้นมาเป็นยอดนักหลอมโอสถสวรรค์ได้
เย่หยวนหันไปมองเหล่าผู้นำตระกูลทั้งหลาย “พวกเจ้านั้นคิดว่าข้าแกล้งเลือกคนเพื่อปั่นหัวพวกเจ้ากันใช่หรือไม่? พวกเจ้าคิดมากกันเกินไปแล้ว ในเส้นทางแห่งการโอสถนี้แม้ว่าพรสวรรค์มันจะสำคัญล้ำ แต่พรสวรรค์ที่ข้ามองและที่พวกเจ้ามองนั้นมันแตกต่างกันสิ้นเชิง สำหรับข้าพรสวรรค์นั้นคือจิตใจที่มุ่งมั่นและต้องการจะพัฒนาตัวเองนั้นต่างหากที่จะเรียกว่าพรสวรรค์ บนเต๋าโอสถนี้มันไม่มีทางลัดใดๆ มีเพียงแค่การฝึกฝนอย่างยากลำบากเท่านั้น ในเส้นทางแห่งการโอสถนั้นเร็วหรือช้ากว่ากันไปหน่อยมันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไปหยุดลงที่เดียวกัน สิ่งสำคัญนั้นคือต้องมองดูให้ดีว่าตัวเองก้าวได้ถูกต้องหรือไม่!”
คำพูดนี้มันทำให้สีหน้าของคนทั้งหลายเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน แม้แต่ซ่งเทียนหยางเองก็ยังต้องก้มหน้าคิดตาม
เหล่ายอดคนแห่งการโอสถนั้นมันย่อมจะมีความคิดที่เหนือล้ำกว่าที่จะเอาเด็กๆ ทั้งหลายไปเทียบเคียงได้
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันเหมือนดั่งเสียงแห่งยอดเต๋าสำหรับพวกเขาทั้งหลาย และในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าทำไมเย่หยวนจึงได้คิดเลือกพวกซ่งหมินเจ๋อทั้งหลายแต่ไม่คิดเลือกเอาซ่งเหวินห่าวไป
ในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้าใจว่าทำไมเจ้าหอทั้งสองนั้นถึงได้ยกย่องเย่หยวนมากล้ำ
จ้าวซุนนั้นกล่าวไว้ตอนงานเลี้ยงว่าเขานั้นยังต้องไปขอคำแนะนำจากเย่หยวน แต่แน่นอนว่าพวกซ่งเทียนหยางนั้นย่อมจะคิดว่ามันเป็นแค่การพูดเพื่อยกสถานะของเย่หยวนเท่านั้น
แต่ดูจากคำพูดของเย่หยวนในตอนนี้แล้วเขาย่อมจะมีความเข้าใจต่อเต๋าโอสถที่เหนือล้ำหัวพวกเขาเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ไปมาก!
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะหลอมโอสถสวรรค์ระดับแท้ได้อย่างไร?
ซ่งเทียนหยางนั้นยกมือขึ้นมาคารวะเย่หยวนพร้อมก้มหัวกล่าว “ขอบพระคุณเจ้าหอสามที่ช่วยแนะนำ คำสั่งสอนนี้ซ่งเทียนหยางขอรับมันไว้ด้วยใจ”
“ขอบพระคุณเจ้าหอสามที่ช่วยแนะนำสั่งสอน!” เหล่าผู้นำตระกูลทั้งหลายต่างก้มหัวลงคารวะเย่หยวนตามๆ กันไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...