จอมนางข้ามพิภพ นิยาย บท 921

ใจของเริ่นเซวียนเอ๋อร์เต็มไปความแปลกใจและความดีใจ คาดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาเก้าจูบตนเองจริงๆแล้ว นางรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก ในที่สุด ทุกอย่างก็กลายเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับริมฝีปาก และตอบสนองการจุมพิตของเสด็จอาเก้าอย่างแรง

ริมฝีปากของนางอ่อนนุ่มและหวานชื่นมาก ราวกับน้ำหวานของดอกไม้ในฤดูร้อน ทำให้ผู้คนไม่อาจหักใจจากไปได้ และติดตาติดใจจนต้องการมากขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้จิ่วเยวียนจูบเริ่นเซวียนเอ๋อร์ มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง ซึ่งดีงามยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้

คนสองคนสวมกอดและจูบกันในห้องขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้แต่อากาศก็หอมหวานขึ้นไปด้วย

จู่ๆเริ่นเซวียนเอ๋อร์รู้สึกคันจมูกเล็กน้อย จึงผลักกู้จิ่วเยวียนออกไปตามจิตใต้สำนึก “ฮัดเช่ย!”

กู้จิ่วเยวียนรีบหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่อเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไว้ทันที “ทีหลังอย่าเที่ยวก่อกวนไปทั่วแบบนี้อีก ถ้าเกิดว่าจะเป็นโรคที่ยากที่จะหายขาดในภายหลังแล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ!”

แม้ว่าเสียงของเขาจะดุร้าย แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง

เริ่นเซวียนเอ๋อร์โน้มตัวเข้าสู่อ้อมแขนของกู้จิ่วเยวียนโดยตรง “ถ้าจะเป็นโรคที่มิอาจหายขาดได้จริงๆ ทีหลังก็ให้เสด็จอาเก้ามาเลี้ยงข้าเลย”

“อย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไรหรอก”

“ข้าเชื่อฟังเสด็จอาเก้า” เริ่นเซวียนเอ๋อร์พูดอย่างว่าง่ายมาก

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โจวมามาถือชาขิงและเดินเข้ามา “บ่าวถวายคำนับเซ่อเจิ้งอ๋อง ชาขิงของท่านพร้อมแล้ว รีบดื่มเพื่อคลายความหนาวเพคะ”

“ได้!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์รีบรับชามและทำท่าจะดื่มลงไป

เมื่อเห็นว่าแขนของนางถูกเปิดออกโดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใดๆ และแขนที่สวยงามประดุจรากบัวของนางก็ยังเปียกชื้นอยู่เล็กน้อยด้วย นัยน์ตาของกู้จิ่วเยวียนก็มืดลงยิ่งกว่าเดิมอีก

“เอามาให้ข้า ห้ามเป็นหวัดอีกแล้ว” กู้จิ่วเยวียนพลางพูดพลางดึงผ้าห่มคลุมแขนของนาง จากนั้นก็รับชาขิงและป้อนให้เริ่นเซวียนเอ๋อร์

เริ่นเซวียนเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งและได้ดื่มชาขิงจนหมดชาม

กู้จิ่วเยวียนถึงได้รู้สึกพอใจและลุกขึ้นยืน “ไปสวมเสื้อผ้าให้ฝ่าบาท อย่าให้ท่านทำเรื่องบ้าบออีก มิฉะนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

“เพคะ!” โจวมามาตอบด้วยความเคารพนับถือ

กู้จิ่วเยวียนจึงหมุนตัวและจากไป จนกระทั่งเขาได้เดินออกไปไกลแล้ว เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็ยังคงยิ้มคิกคักอยู่ เมื่อคิดถึงการจูบของเสด็จอาเก้าในเมื่อสักครู่นั้น หัวใจของนางก็รู้สึกหวานชื่นยิ่งกว่าได้กินน้ำผึ้งอีก

แต่เมื่อกู้จิ่วเยวียนเพิ่งกลับมาที่บ้านของเขา ทหารก็มารายงานว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้สืบมาแล้วว่า พวกหยุนถิงออกจากชายแดนของแคว้นเป่ยลี่และได้ไปถึงเมืองหวยแล้ว ถ้าจะออกเดินทางไปตาม ต้องใช้เวลาประมาณห้าหรือหกวัน!”

ดวงตาสีดำที่ลึกซึ้งของกู้จิ่วเยวียนหรี่ลงเล็กน้อยและมืดลงยิ่งกว่าเดิม เมื่อนึกถึงการจูบของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ในเมื่อสักครู่นั้น เขาก็ตัดสินใจแล้ว

“ออกเดินทางเลย ข้าจะไปพบหยุนถิง!”

“ขอรับ!”

กู้จิ่วเยวียนไม่ได้เก็บกระเป๋าเดินทางก็พาทหารของตนและองครักษ์ลับสิบกว่าคนออกจากวังโดยตรงแล้ว

ในตอนที่ถึงเวลาทานอาหารเย็น เริ่นเซวียนเอ๋อร์รอไปตั้งนานก็ไม่เห็นเงาร่างของเสด็จอาเก้า จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที ปกติแล้วเสด็จอาเก้าจะมาทานอาหารกับนางโดยตลาด ทำมันวันนี้อยู่ดีๆเขาก็ไม่มาแล้วล่ะ หรือว่าเขาโกรธนางแล้ว

หลังจากได้ไปสอบถามมา นางจึงได้รู้ว่าเสด็จอาเก้าออกจากวังไปโดยได้ทิ้งจดหมายไว้เพียงฉบับเดียว

เริ่นเซวียนเอ๋อร์เปิดจดหมายและพบว่า มีเพียงบรรทัดเดียวที่เขียนอยู่บนนั้นว่า มีธุระสำคัญต้องออกจากวัง จะกลับมาภายในไม่กี่วัน

“มันเป็นเรื่องอะไรที่สำคัญกว่าการกินข้าวด้วยกันกับข้า” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ผิดหวังเป็นอย่างมาก

แต่นางก็ไม่ได้บ่นอะไรมากนัก เพราะนางรู้ว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนที่รู้จักความหนักเบา ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เริ่นเซวียนเอ๋อร์จึงรีบสั่งองครักษ์ลับไปไล่ตามเสด็จอาเก้าเพื่อแอบป้องกันเขา

……………………

ส่วนพวกหยุนถิงได้เดินทางสิบกว่าวัน จนได้มาถึงชายแดนของแคว้นต้าเยียนแล้ว คืนนี้พวกเขาจะพักที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง

คราวนี้หยุนถิงไม่ได้เลือกที่จะค้างที่โรงเตี๊ยม แต่เลือกบ้านของชาวนาหลังหนึ่งแทน

เพราะสามารถทำให้เด็กสองคนมองเห็นผักและผลไม้ได้ การสัมผัสกับชีวิตในชนบทหนึ่งปีก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ