หลังจากที่ได้รับขอบเขตเซียนเพิ่มมาอีกสิบคน จ้าวเทียนก็ประกาศให้ทุกคนในกองกำลังหยุดพักเป็นเวลาสองวัน จนกว่าจะถึงวันคัดเลือกผู้บัญชาการซิงหลง
โดยที่เรื่องราวในวันนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับ ห้ามทุกคนเปิดเผยออกไปเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลของตัวเองหรือครอบครัวก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้สายลับที่แฝงตัวอยู่ตามตระกูลต่างๆรู้เรื่องนี้
ตอนนี้จ้าวเทียนได้นั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับโม่ซินหยาน เพื่อจัดการเกี่ยวกับรายชื่อผู้เข้ารับการทดสอบ
“ พี่ซินหยาน…วันนี้หยูเหมยไปไหนเหรอ จะว่าไปฉันก็ไม่ได้เจอเธอมาหลายวันแล้ว ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย
ตั้งแต่ที่โม่ซินหยานเข้ามาทำงานกับเขา เธอก็รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันให้กับน้องสาวเขามาตลอด จนกระทั่งท่านตาของจ้าวเทียนได้เข้ามาอาศัยอยู่ด้วย จึงขอรับหน้าที่ดูแลหลานสาวเอาไว้เองด้วยความเต็มใจ
แต่ถึงแม้จะไม่ได้คุ้มกันจ้าวหยูเหมยแล้ว โม่ซินหยานก็ยังทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆภายในครอบครัวของจ้าวเทียน เหมือนกับเป็นแม่บ้านตามที่เธอบอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกัน
“ น้องหยูเหมย…เธอไปเข้าสถาบันสอนดนตรี ที่เหยาเหยาแนะนำให้ ตอนนี้คงกำลังฝึกซ้อมอย่างหนักอยู่ที่ค่ายอบรม อีกประมาณสองถึงสามวันเธอก็คงกลับมา ”
“ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ…เพราะผู้อาวุโสเหยียนก็ตามไปดูแลเธอด้วย ” โม่ซินหยานตอบอย่างละเอียด เธอรู้ว่าช่วงนี้จ้าวเทียนยุ่งมากจริงๆ จนไม่ค่อยมีเวลาให้หยูเหมยซักเท่าไหร่
“ งั้นเหรอ… ” จ้าวเทียนถอนหายใจเบาๆ เขาเคยคิดจะดึงตัวน้องสาวเข้ามาเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่ยอมเพราะไม่ชอบการต่อสู้
ความฝันของจ้าวหยูเหมย คือการประสบความสำเร็จในวงการเพลงแบบลี่เหยาเหยา ซึ่งจ้าวเทียนก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ
ชีวิตของผู้ฝึกตนและคนธรรมดานั้นแตกต่างกันมาก เวลาสิบปีสำหรับผู้ฝึกตนนั้นสั้นเหมือนกะพริบตา
ในอดีตตอนที่จ้าวเทียนอยู่บนแดนสวรรค์ เขายังเคยเก็บตัวฝึกวิชาครั้งเดียวเป็นเวลาร้อยปีมาแล้ว ซึ่งแตกต่างจากคนธรรมดา เวลาร้อยปีของพวกเขา มันเท่ากับทั้งชีวิต
ในปัจจุบัน นอกจากทำงานและฝึกฝนกองกำลังแล้ว เวลาที่เหลือของจ้าวเทียนก็ถูกใช้ไปในการฝึกตนจนหมด
ถ้าเป็นในอดีตจ้าวเทียนยังพอแบ่งเวลาให้กับน้องสาวได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องกินข้าวด้วยกันทุกเช้า
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่เขากลายเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ ซึ่งทุกวันจะต้องตรวจสอบรายงานความคืบหน้าของภารกิจ
อีกทั้งยังต้องติดต่อกับหน่วยข่าวกรอง เพื่อตรวจสอบปัญหาต่างๆที่เกิดจากผู้มีพลังพิเศษจากต่างประเทศที่เข้ามาพร้อมกับศาสนจักรแห่งแสง
ทำให้ตอนนี้ จ้าวเทียนแทบจะไม่มีเวลาว่างให้กับครอบครัวเลย…
‘ บางที…หลังจากที่บริษัทอยู่ตัว ฉันจะดึงหวังซินหยางเข้ามาเป็นรองผู้บัญชาการ ให้เขาจัดการหน้าที่ตรงส่วนนี้ เพื่อที่ฉันจะได้มีเวลามากขึ้น ’
‘ เพราะอีกไม่กี่ปี…ฉันก็ต้องกลับขึ้นไปที่แดนสวรรค์แล้ว ฉันอยากมีเวลาให้ครอบครัวมากกว่านี้ ’
เรื่องแดนสวรรค์ จ้าวเทียนเคยเล่าให้ท่านตากับน้องสาวฟังแล้ว เมื่อจ้าวหยูเหมยรู้ว่าซักวันหนึ่งจ้าวเทียนจะต้องจากไป ทำให้เธอเสียใจมากจนร้องไห้ทั้งวัน แต่หลังจากที่เขาอธิบายเรื่องอดีตของตัวเอง และภารกิจที่ต้องทำ เธอก็ได้แต่ต้องทำใจยอมรับ
ส่วนท่านตาของเขานั้น เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ แล้วบอกจ้าวเทียนอย่างจริงจัง ว่าท่านจะอยู่บนโลกมนุษย์ ท่านเบื่อการต่อสู้แย่งชิงเต็มทีแล้ว อยากใช้ชีวิตสงบสุขอยู่บนโลก กับครอบครัวที่เหลืออยู่
คำพูดของเหยียนซืออู่มันได้สร้างความสะเทือนใจให้จ้าวเทียนเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าท่านแม่เองก็คงเลือกทางนี้เหมือนกัน
ตั้งแต่ที่เขามีโอกาสย้อนเวลากลับมา ก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้สองอย่าง คือเรื่องการกำจัดเต๋าสวรรค์และปกป้องครอบครัว
ซึ่งในทีแรก เขาคิดจะทำพวกมันไปพร้อมกัน เขาตั้งใจจะพาครอบครัวขึ้นไปอยู่บนแดนสวรรค์ด้วย แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะเขาลืมคิดถึงความรู้สึกของครอบครัว ว่าพวกเขาต้องการจะไปด้วยหรือเปล่า
มนุษย์ทุกคนบนโลกตั้งแต่เกิดมาย่อมมีสังคมของตัวเอง มีเพื่อน พี่น้อง คนรัก และนอกจากนี้ ทุกคนยังมีความฝัน มีความต้องการ หากจะให้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ ในโลกที่ไม่คุ้นเคย มันก็คงเป็นการตัดสินใจที่ยากจริงๆ
‘ คงมีทางเดียว…ฉันต้องรีบบรรลุขอบเขตเซียนทิพย์ให้เร็วที่สุด เพราะมันเทียบเท่ากับขอบเขตเทพโลกา ทำให้สามารถสร้างร่างทิพย์ลงมาบนโลกมนุษย์ได้ ’
‘ ในชาติที่แล้ว ฉันใช้เวลา 500 ปี จึงจะไปถึงขอบเขตเทพโลกาได้ แต่จากที่ผู้อาวุโสหยวนตี้บอกการบรรลุเซียนทิพย์นั้นยากกว่าเทพโลกาหลายเท่า ’
‘ แต่ต่อให้มันจะยากซักแค่ไหน…ฉันก็ต้องทำมันให้สำเร็จ เพราะตอนนี้ตัวฉันไม่ใช่คนเดิมเหมือนในอดีตแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาหมื่นตะวันและเมล็ดพันธุ์สุริยัน อีกสิบปีฉันจะต้องบรรลุเซียนทิพย์ให้ได้ ’
จ้าวเทียนตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง ตอนนี้น้องสาวของเขาอายุสิบห้าปี ถ้าอีกสิบปีเธอก็มีจะอายุยี่สิบห้าปี ซึ่งเป็นวัยที่อยู่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ทั้งการทำงานและสร้างครอบครัว เขาเองก็อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาเหล่านั้น
ร่างทิพย์ของจ้าวเทียนที่อยู่บนโลก ไม่จำเป็นต้องมีพลังมากมายเพียงแค่เขาทิ้งจิตสำนึกบางส่วนเอาไว้ ให้เป็นเหมือนกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง
เพราะเขาต้องการให้ร่างนี้มีชีวิตอยู่ในฐานะคนธรรมดา ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข
“ พี่ซินหยาน…หน่วยลอบสังหารทั้งยี่สิบคน ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ” หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง จ้าวเทียนก็ถามเรื่องงานต่อ
“ หลังจากคุณมอบเลือดมังกรให้กับพวกเธอ…ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นปรมาจารย์ระดับสูงหมดแล้ว และด้วยเคล็ดวิชาแปลงกายที่ซูต๋าจี่สอน ทำให้พวกเธอไม่ต้องอยู่ในร่างครึ่งอสูรอีกต่อไป ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน