หลังจากเก็บแหวนมิติวงนั้นเรียบร้อย จ้าวเทียนก็หันไปมอง ชายวัยกลางคนในชุดผู้อาวุโสที่เพิ่งมาถึง เขารู้สึกแปลกใจที่จับความรู้สึกไม่เป็นมิตรจากอีกฝ่ายได้
‘ พ่อของเล่งซิงอี่…คงไม่ได้โกรธฉันที่ขายป้ายตัวแทนไปใช่ไหม แต่ของที่องค์หญิงเสนอมาให้ มันก็เป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ’
‘ ช่างเถอะ…ถ้าเขาไม่อยากให้ฉันร่วมงานชุมนุมกระบี่เพราะเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นไร วันนี้ถือว่าฉันบรรลุจุดประสงค์ที่มาแล้ว ’
เหตุผลที่จ้าวเทียนมาร่วมงานชุมนุมกระบี่ ก็เพื่อสังเกตเคล็ดวิชากระบี่ของสำนักโบราณต่างๆ อีกทั้งยังต้องการศึกษาดูสี่กระบวนท่าแรกของเคล็ดวิชาระดับสูงอย่างเก้ากระบี่เดียวดาย เพราะมันจะช่วยเขาในการตระหนักรู้ขอบเขตขั้นต่อไป ของเจตน์แห่งกระบี่
สิ่งที่อยู่ในแหวนมิติขององค์หญิงจูม่านฉีก็คือ คัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่เกือบร้อยเล่ม ทั้งจากของสำนักโบราณและของโลกหมิงหลงเอง ซึ่งมันเหนือกว่าที่ตระกูลฉินเก็บเอาไว้มาก
ต้องรู้ก่อนว่า ตระกูลฉินเมืองเหล็กดำเป็นเพียงเจ้าของเมืองชายแดนเท่านั้น คัมภีร์เคล็ดวิชาที่พวกเขารวบรวมมาได้ ย่อมต้องด้อยกว่าหอคัมภีร์ของเมืองหลวงประจำแคว้นอยู่แล้ว
ฐานะที่จ้าวเทียนใช้อยู่ตอนนี้เป็นเพียง ผู้อาวุโสของกองกำลังเงาปีศาจ เขาย่อมไม่มีโอกาสเข้าไปในหอคัมภีร์ลับของแคว้นต้าฉินแน่นอน
‘ บางที…แหวนมิติหยกม่วงขององค์หญิงแคว้นต้าหมิง อาจจะเป็นคลังลับเคล็ดวิชาของทั้งแคว้นเลยก็ได้ ที่เธอทำก็คือการแบ่งเอาเฉพาะเคล็ดวิชากระบี่มามอบให้ฉัน ’
‘ จากที่ตรวจดูเมื่อครู่…ในนั้นมีเคล็ดวิชาส่วนแรกของเพลงกระบี่ตั๊กม้ออยู่ด้วย นี่เป็นเคล็ดวิชาลับของวัดเส้าหลิน ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเลยทีเดียว ’
‘ เมื่อรวมกับเพลงกระบี่ไท่เก๊กที่ฉันเพิ่งได้เรียนรู้ไป ก็จะเท่ากับว่าฉันมีเคล็ดวิชากระบี่สูงสุดของทั้งพุทธและเต๋าไว้ในครอบครอง ขอเพียงให้เวลาฉันศึกษาสองวิชานี้อย่างถ่องแท้ ก็น่าจะสามารถบรรลุขอบเขตขั้นต่อไปได้ ’
ในขณะที่จ้าวเทียนกำลังครุ่นคิดถึงศาสตร์กระบี่จนลืมตัว ผู้อาวุโสเล่งซูหยินก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน ”
!!
หืม..
‘ เขาถามหาลูกชายงั้นเหรอ… ’
จ้าวเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี แต่ดูจากท่าทางโมโหแบบนี้ เขาน่าจะไม่อยากให้ลูกชายไปใกล้ชิดกับคนตระกูลฉินแน่นอน
ซึ่งจะโทษจ้าวเทียนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเล่าเรื่องน้องสาวคังหลินให้เขาฟัง จึงไม่รู้ว่าพ่อลูกตระกูลเล่งทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้
อีกทั้งเล่งซิงอี่เองก็สัญญากับพ่อของเขาไว้ ว่าจะกลับมาเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ แต่สุดท้ายกลับส่งจ้าวเทียนมาแทน แล้วจะไม่ให้ผู้อาวุโสเล่งซูหยินโมโหได้อย่างไร
“ ถ้าคุณหมายถึงเล่งซิงอี่…ตอนนี้เขากำลังตรวจสอบเรื่องบางอย่างอยู่ที่เมืองเหล็กดำ เพราะเมื่อวานได้มีเซียนจากสำนักซงซาน บุกเข้ามาเข่นฆ่าสังหารผู้คนในจวนเจ้าเมือง ” จ้าวเทียนตอบกลับไปด้วยเสียงทางลมปราณเพื่อให้ได้ยินกันสองคน เขาแอบพูดช่วยเล่งซิงอี่เล็กน้อย
จ้าวเทียนรู้ดีว่า เรื่องที่มีเซียนสองคนถูกฆ่าตาย อีกไม่นานก็คงแพร่กระจายไปทั่วอย่างแน่นอน ก็เลยชิงเล่าให้อีกฝ่ายฟังก่อน จะได้สังเกตดูท่าทีของสำนักหัวซานว่ามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่
‘ ถ้าฉันทำให้สำนักอื่นๆจับตามองสำนักซงซานเป็นพิเศษ พวกเขาคงจะไม่กล้าลงมือกับเมืองเหล็กดำเร็วๆนี้แน่นอน ’
“ ว่าไงนะ…ไหนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังสิ ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
จ้าวเทียนดูออกว่า ท่าทีของผู้อาวุโสเล่งซูหยินไม่ได้แกล้งทำ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหัวซาน
ดังนั้นจ้าวเทียนจึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง โดยปิดบังเรื่องเหมืองวิญญาณระดับสูงกับรายละเอียดของการต่อสู้เอาไว้ เขาบอกเฉพาะผลการต่อสู้ ที่เซียนจากสำนักซงซานสองคนถูกสังหารเท่านั้น
เนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยเสียงทางลมปราณ ทำให้คนอื่นที่อยู่รอบๆ มองเห็นจ้าวเทียนและผู้อาวุโสเล่งซูหยิน ยืนมองหน้ากันเงียบๆไม่ทำอะไรมาหลายนาทีแล้ว
“ สหายฉินหวง…งั้นพวกฉันเข้าไปก่อนนะ ไว้เจอกันในงาน ” องค์หญิงจูว่านฉีหันมาบอกจ้าวเทียน ก่อนจะพาคนของเธอจากไป
จ้าวเทียนที่ได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ เพราะเขาอาจจะต้องอยู่คุยกับผู้อาวุโสเล่งซูหยินอีกพักใหญ่ เพราะดูแล้วอีกฝ่ายยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวที่เขาเล่ามากนัก
“ ผู้อาวุโสเล่ง…คุณจะจัดการยังไง ฉินหวงได้ขายป้ายตัวแทนให้คนอื่น ต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องนี้มันจะทำให้สำนักหัวซานของพวกเราเสียชื่อเสียงไปได้ ” เซียวคงอู่พูดเปิดประเด็นขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน