งานชุมนุมกระบี่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ซึ่งมันจะถูกห้าขุนเขากระบี่ จัดขึ้นทุกๆห้าสิบปี
โดยในสองครั้งแรกนั้น ถูกจัดขึ้นที่สำนักซงซานและสำนักหานซาน เปิดรับยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญกระบี่ทั่วทุกสารทิศ
สำหรับเงื่อนไขในการเข้าร่วมมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือเป็นคนของสำนักโบราณเอง สามารถเข้าร่วมได้เลยไม่มีข้อจำกัด
อย่างที่สองคือหากผู้ต้องการเข้าร่วมเป็นคนของโลกหมิงหลง จะต้องผ่านการทดสอบเกณฑ์มาตรฐานให้สำเร็จ หรือได้รับแผ่นป้ายตัวแทน จึงจะสามารถร่วมงานได้
เหตุผลที่ทำให้ปรมาจารย์มากมายของโลกหมิงหลงต้องการได้รับคุณสมบัติเข้าร่วมงานครั้งนี้ ก็เพราะหากพวกเขาทำผลงานได้ดี จะถูกจัดเข้าสู่อันดับทำเนียบยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ ที่ห้าขุนเขากระบี่เป็นผู้จัดทำ
ผู้ที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกจะได้รับการสนับสนุนทรัพยากรฝึกตน จากห้าขุนเขากระบี่ และยังสามารถเข้าสู่หอคัมภีร์สองชั้นแรก ของสำนักที่เป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนั้นได้ด้วย
นี่เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาพลิกชะตาชีวิตของตัวเอง จากชาวพื้นเมืองที่โดนกดขี่ ขึ้นมาเทียบเท่าชนชั้นสูงแบบคนของสำนักโบราณ
อำนาจของห้าขุนเขากระบี่นั้น เป็นรองห้าสำนักใหญ่เพียงครึ่งขั้น เหนือกว่าสำนักระดับกลางอื่นๆมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักระดับเล็กที่อยู่ต่ำกว่า
เมื่อได้รับการจัดอันดับจากห้าขุนเขากระบี่ ศักดิ์ฐานะของพวกเขาจะถูกยกขึ้นเทียบเท่าเจ้าเมือง เวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ทั้งยังจะถูกขุมอำนาจต่างๆในโลกหมิงหลงพากันเสนอผลประโยชน์ดึงดูดให้เข้าร่วม
ที่บอกไปทั้งหมด เป็นผลประโยชน์เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่มันก็มากพอทำให้ผู้มีพรสวรรค์ต่างๆ พากันหลั่งไหลเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ทุกครั้งที่ถูกจัดขึ้น
น่าเสียดายที่งานชุมนุมกระบี่สองครั้งแรก มีคนจากโลกหมิงหลงไม่ถึงสิบคนเท่านั้น ที่สามารถติดยี่สิบอันดับแรกได้
สาเหตุของเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของพวกเขาด้อยกว่า หรือพ่ายแพ้เพราะเคล็ดวิชา
อย่างที่รู้กันว่า คนของโลกหมิงหลงถูกข้อจำกัดทางสายเลือดกดดันเอาไว้ ทำให้บรรลุขอบเขตปรมาจารย์ได้ยากกว่าปกติ คนที่บรรลุได้ก็ล้วนแต่เป็นผู้เข้มแข็ง
แต่เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด โอกาสที่จะชนะได้ก็น้อยเต็มที ซึ่งศิษย์ของสำนักโบราณที่ติดยี่สิบอันดับแรก ส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสิ้น
ปรมาจารย์สูงสุด เป็นขอบเขตที่อยู่ห่างจากเซียนเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น เรียกได้ว่า ผู้ที่สามารถบรรลุขั้นนี้ได้ ก็กลายเป็นเซียนไปแล้วครึ่งตัว พวกเขาต้องการเพียงเวลาไม่กี่ปีในการบรรลุขอบเขตเซียนได้อย่างแน่นอน
แต่เนื่องจากขีดจำกัดทางสายเลือด ทำให้คนของโลกหมิงหลง ไม่สามารถบรรลุขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้ ไม่ว่าจะทุ่มเทซักแค่ไหน พวกเขาก็บรรลุได้เพียงปรมาจารย์ขั้นสูงเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หุ่นเหล็กทดสอบ มีถึงขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสูงเท่านั้น
“ การทดสอบระดับสูงสุดคืออะไร…คุณอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ” จ้าวเทียนถามด้วยความสงสัย
“ อย่างที่นายเห็น…การทดสอบที่อยู่ตรงหน้านี้ แท้จริงแล้วเป็นระดับมาตรฐานที่ใช้คัดเลือกศิษย์สายในของสำนักหัวซานทุกปี ”
“ เฉพาะคนจากโลกหมิงหลงที่เข้าสู่สำนัก จะต้องเริ่มจากการเป็นศิษย์สายนอกก่อน เมื่อผ่านการทดสอบนี้ได้ถึงจะกลายเป็นศิษย์สายใน นอกจากนี้มันยังมีการทดสอบระดับสูงสุด ของศิษย์ระดับหัวกระทิ ที่จะสามารถท้าชิงสิบอันดับแรกของศิษย์สายในได้โดยตรง ”
“ การทดสอบนั้น…ก็คือการต่อสู้กับหุ่นเหล็กพร้อมกันสามตัว แล้วห้ามพ่ายแพ้ภายในระยะเวลาห้านาที โดยในระหว่างนั้นหุ่นเหล็กทั้งสามจะใช้ค่ายกลกระบี่เข้าต่อสู้ ”
เมื่อฟังผู้อาวุโสเล่งซูหยินอธิบายจบ จ้าวเทียนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ต่อจากนั้นก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ ตกลง…ฉันจะเข้าร่วมการทดสอบ แต่ต้องบอกก่อนนะ หากหุ่นพวกนี้ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ฉันจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ”
!!
“ บัดซบ…ไอ้คนอวดดี! ”
“ ถ้าคนอย่างแกทำให้หุ่นพวกนี้มีรอยขีดข่วนได้ ฉันยอมเปลี่ยนแซ่เลย ”
“ ปากดีจริงๆ…ฉันอยากรู้นักว่าจะทำได้จริงไหม ”
พวกเซียนคนอื่นๆที่เพิ่งมาถึง และยืนอยู่ฝ่ายผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก สมัยที่พวกเขาอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ ย่อมเคยทดลองต่อสู้กับหุ่นเหล็กพวกนี้มาแล้ว
อย่าว่าแต่จะเอาชนะมันเลย แค่จะอยู่รอดถึงห้านาทียังยากซะยิ่งกว่ายาก คำพูดของจ้าวเทียน ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าไม่มีผิด
“ ดูเหมือนแกจะมั่นใจมากเลยนะ…ดีมาก ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ดูแลการทดสอบ ขอประกาศว่า ถ้าภายในห้านาทีแกสามารถสร้างความเสียหายให้หุ่นพวกนี้ได้ จะมอบสถานะพิเศษในการเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ให้เลย ”
“ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะปลดข้อจำกัดห้ามสังหารของหุ่นทั้งสามตัวออก หลังจากนี้พวกมันจะต่อสู้ด้วยพลังที่แท้จริง ด้วยเป้าหมายที่จะฆ่าแกให้ได้ ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
นี่มัน…
“ เดี๋ยวก่อน…เรื่องนี้ฉันยอมไม่ได้ คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ หากหุ่นเหล็กทั้งสามตัวปลดข้อจำกัดออก แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดยังรับมือได้ไม่ถึงสามนาทีเลย ” ผู้อาวุโสเล่งซูหยินรีบพูดแย้งขึ้นทันที
“ ผู้อาวุโสเล่ง…คุณไม่ได้ยินที่มันบอกว่าจะทำลายหุ่นทดสอบของพวกเราเหรอ ในเมื่อกล้าพูดออกมาก็ต้องยอมรับผลของมันด้วย ” ผู้อาวุโสเซียวเฉินยังคงยืนกรานความคิดเดิม
ซึ่งคำพูดนั้น ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากเซียนคนอื่นที่อยู่รอบๆ ทำให้ผู้อาวุโสเล่งซูหยินไม่สามารถแย้งได้
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาทะยานร่างขึ้นไปบนเวทีทดสอบตรงกลางทันที เวลานี้การทดสอบได้ถูกหยุดไปแล้วตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้น หุ่นเหล็กทั้งสามตัวยืนสงบนิ่งเหมือนถูกปิดการใช้งาน
“ ดีมาก…นับว่าแกมีความกล้าจริงๆ ”
“ ฮ่าฮา…พวกฉันจะคอยดูฝีมือของแก อย่ารีบตายเร็วเกินไปล่ะ”
“ เห็นแก่ความกล้าหาญของแก…ถ้ายอมตบหน้าตัวเองสิบที ฉันจะขอให้พ่อไม่ปลดข้อจำกัดออกดีไหม ” เซียวคงอู่ที่รอจังหวะอยู่ก็พูดออกมาเสียงดัง เรียกเสียงสนับสนุนจากพรรคพวกฝ่ายเขาที่อยู่รอบๆทันที
ผู้อาวุโสเซียวเฉินที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ขัดอะไร ถึงอย่างไรจุดประสงค์ของเขาก็ต้องการแสดงอำนาจข่มผู้อาวุโสเล่งซูหยินก็เท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการชีวิตของจ้าวเทียนจริงๆ
หากจ้าวเทียนยอมตบหน้าตัวเอง แสดงความหวาดกลัวออกมา ก็จะทำให้ผู้อาวุโสเล่งซูหยินที่หนุนหลังเขาอยู่เสียหน้าอย่างรุนแรง แบบนี้ก็ถือว่าเขาได้บรรลุเป้าหมายเช่นกัน
ในขณะที่ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาทางเขา
จ้าวเทียนชักกระบี่ออกมา แล้วชี้ตรงไปทางเซียวคงอู่ที่กำลังปากดีอยู่
“ เศษสวะอย่างแก…ถ้าไม่กล้าสู้กับฉันก็หุบปากไป ”
!!
“ บัดซบ!...แกกล้าดูถูกฉัน ” เซียวคงอู่กัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าสู้กับจ้าวเทียนจริงๆ จึงทำได้แค่ตะโกนด่าออกมาด้วยความโมโห
ซึ่งเหตุการณ์นี้ มันได้ทำให้ผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหัวซาน ต่างพากันนึกดูถูกเซียวคงอู่ในใจ ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสเซียวเฉินอยู่ด้วย คงหลุดปากด่าออกมาแล้ว
“ พอแล้ว…เริ่มการทดสอบได้ ” ผู้อาวุโสเซียวเฉิน หยิบแผ่นหยกควบคุมหุ่นออกมา จากนั้นก็ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปเพื่อปลดข้อจำกัดออก
แล้วสั่งให้พวกมันทั้งสามตัวกระโดดไปล้อมจ้าวเทียนเอาไว้
วิ้งง!
ดวงตาหุ่นเหล็กทั้งสามเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ออร่าสังหารน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างของพวกมัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน