ในอดีตสมัยที่ยังไม่มีการคิดค้นวิถีเซียนขึ้นมา โลกของเราในตอนนั้นมีขีดจำกัดอยู่ที่ขอบเขตปรมาจารย์ ในช่วงนั้นยุทธภพก็ได้มีสำนักฝึกยุทธเกิดขึ้นมากมาย
โดยที่ผู้คนส่วนใหญ่ จะเน้นฝึกเคล็ดวิชาสายกระบวนท่าเน้นไปที่การฝึกฝนภายนอกมากกว่าภายใน ใช้ความแข็งแกร่งและพละกำลังของกล้ามเนื้อเป็นหลัก เพราะมันเห็นผลได้ไว
ฝึกเพียงปีสองปี ก็สามารถต่อสู้เอาชนะศัตรูได้แล้ว ส่วนการฝึกลมปราณนั้น จะเห็นผลได้ช้ากว่ามาก ต้องฝึกถึง 5-10 ปี จึงจะเอาชนะผู้ที่ฝึกร่างกายมาเป็น 1-2 ปีได้
แต่หลังจากที่ผ่านช่วงยากลำบากไปแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนปราณภายในจะได้เปรียบในระยะยาว ทุกเส้นทางล้วนแต่มีข้อดีและข้อด้อยของตัวมันเอง ผู้ฝึกจะต้องเลือกเองว่าเส้นทางไหมเหมาะสมกับตัวเองที่สุด
บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักหัวซานในเวลานั้น ได้แบ่งสำนักออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ฝ่ายกระบี่เน้นการฝึกกระบวนท่าและความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นอันดับแรก
ส่วนฝ่ายลมปราณนั้นจะเน้นการฝึกพลังภายในเป็นหลัก แล้วฝีกกระบวนท่าเป็นรอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายอย่างหนักเหมือนฝ่ายกระบี่
เหตุที่ผู้ก่อตั้งแบ่งฝ่ายแบบนี้ ก็เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกันเอง สำนักจะได้เกิดการพัฒนาขึ้นทุกรุ่น โดยที่ทุก 10-20 ปี ทั้งสองฝ่ายจะส่งตัวแทนมาท้าประลองกันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
ต่อมา เมื่อมีการค้นพบวิถีเซียน ที่ทำให้มนุษย์ข้ามพ้นขีดจำกัดของปรมาจารย์ได้ โดยการสร้างเมล็ดพันธ์ุเซียน และเปลี่ยนแปลงพลังปราณให้กลายเป็นพลังเซียน
เส้นทางการฝึกฝนกำลังภายในและกำลังภายนอก จึงถูกนำมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเป็นพื้นฐานให้กับการฝึกวิถีเซียน ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนทุกคน
แต่ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องแบ่งแยก เส้นทางการฝึกภายในกับภายนอกแล้ว สำนักหัวซานก็ยังคงยึดมั่นในคำสอนของผู้ก่อตั้งเอาไว้
พวกเขายังคงแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายเหมือนเดิม แต่จะเลื่อนการชิงตำแหน่งเจ้าสำนักออกเป็นทุกๆร้อยปีแทน
ในปัจจุบัน ฝ่ายลมปราณจะมีจุดเด่นอยู่ที่พลังอันหนักแน่นลึกล้ำ เปรียบเสมือนรถถังที่พลังป้องกันและพลังโจมตีสูง สามารถยิงเพียงนัดเดียวก็หวังผลแพ้ชนะได้
ส่วนจุดเด่นของฝ่ายกระบี่ จะเน้นฝึกฝนไปที่สำนึกแห่งกระบี่ การพลิกแพลงและความรวดเร็วฉับไวของเคล็ดวิชา เข้ารุกไล่ศัตรูเพื่อจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ละฝ่ายต่างมีข้อดีเป็นของตัวเอง แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายกระบี่ถือครองความได้เปรียบมาตลอด
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ฝ่ายกระบี่มีผู้นำที่มีพลังฝีมือเป็นตำนานของยุทธภพอย่าง เทพกระบี่ฟงอู๋หยาง
ผู้ที่ทำให้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย มีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านยุทธภพ…
ถึงแม้เขาจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด แต่ก็สามารถต่อสู้กับเจ้าสำนักใหญ่ทั้งห้าที่อยู่ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้อย่างสูสี
ทำให้ฝ่ายกระบี่ ได้กลายเป็นผู้นำของสำนักหัวซานมากว่าสองร้อยปี ก่อนที่เมื่อห้าสิบปีก่อน เทพกระบี่ฟงอู๋หยางจะประกาศถอนตัวออกจากยุทธภพ เพื่อเก็บตัวค้นคว้าวิถีกระบี่อย่างจริงจัง เนื่องจากอายุขัยของเขาที่กำลังจะหมดลง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฝ่ายลมปราณได้กลับมากุมอำนาจอีกครั้ง
ณ ยอดเขาเย้ยเมฆา
บนภูเขาสูงเกือบเจ็ดพันเมตร ที่มีลักษณะคล้ายกระบี่ปักอยู่บนพื้น ด้วยความสูงชันของมัน ทำให้มีเพียงเซียนเท่านั้นถึงจะบินขึ้นมาได้ ที่จุดสูงสุดบนยอดเขามีกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้ยอย่างเรียบง่าย ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักหัวซาน ที่แม้แต่เจ้าสำนักคนปัจจุบัน ยังไม่กล้าที่จะเข้ามารบกวนโดยไม่ได้รับอนุญาต
เนื่องจากมันคือที่เก็บตัวของเทพกระบี่ฟงอู๋หยาง…
ฟิ้วว!
เสียงสายลมพัดเข้ามาตรงลานกว้างหน้ากระท่อม แต่มันก็ได้ถูกม่านพลังไร้สภาพสลายไปอย่างง่ายดาย
ม่านพลังนี้เหมือนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนหลับตาอยู่อย่างสงบ
ชายคนนี้มีหนวดเคราสีดำยาวลงมาถึงอก ดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบปี
ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายเหมือนถูกสลักจากหยก พร้อมกับคิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่ และบุคลิกสง่างาม แผ่นหลังที่ยืดตรงของเขาแฝงสภาวะไม่ยอมสยบต่อสรรพสิ่งรวมทั้งฟ้าดิน
เขาอยู่ตรงนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยวันแล้ว…
ยืนนิ่งดุจรูปปั้นหินไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ หากไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างแผ่วเบาออกมาจากร่าง ใครที่มาพบเข้าคงคิดว่าเขาได้สิ้นชีพไปแล้ว
ฟูวว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน