ณ ยอดเขาเย้ยเมฆา ทางด้านทิศเหนือของสำนักหัวซาน
เทพกระบี่ฟงอู๋หยาง ได้พาจ้าวเทียนบินขึ้นมาบริเวณที่พำนักของเขา แต่เมื่อเห็นเศษซากของกระท่อมที่ถูกทำลาย เพราะพลังของตัวเองที่เผลอปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาก็รู้สึกอับจนหนทาง
‘ มีแต่ค่ายกลที่ฉันวางเอาไว้ที่นี่เท่านั้น…ถึงจะป้องกันการสอดแนมทุกอย่างได้ ฉันกับสหายน้อยคนนี้จะได้พูดคุยกันได้อย่างสบายใจ ’
เขาเชื่อว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น คงล่วงรู้ไปถึงหูใครหลายๆคนเรียบร้อยแล้ว ด้วยศักดิ์ฐานะของตัวเขาเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะดึงดูดความสนใจของผู้คนเสมอ
และยังมีผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาแบบพิเศษ ที่สามารถอำพรางสัมผัสวิญญาณแอบสอดแนมได้แม้แต่การส่งเสียงทางลมปราณ นี่เป็นเหตุผลที่เขาพาจ้าวเทียนมาที่บ้านของเขา เพราะได้ป้องกันเอาไว้แล้ว
“ ผู้อาวุโส…ที่นี่คือ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยแววตาแปลกๆ อีกฝ่ายพาเขามาดูเศษซากกระท่อมนี้ทำไมกัน
“ ฉันคงต้องขอโทษเธอด้วยจริงๆ…สถานที่นี้คือที่พำนักของฉันเอง แต่เพราะฉันเผลอปลดปล่อยพลังออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันจึงกลายสภาพเป็นอย่างที่เห็น ”
พูดจบเทพกระบี่ฟงอู๋หยางก็พลิกฝ่ามือไปด้านข้างเบาๆ
ครืนน!
เศษซากสิ่งของที่กระจัดกระจาย ก็เหมือนถูกมือขนาดใหญ่กวาดออกไปกองรวมกันที่ด้านข้างทำให้เกิดเป็นพื้นที่โล่งๆขนาดประมาณหนึ่งห้อง
วูป!
ชุดโต๊ะน้ำชาพร้อมเก้าอี้ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
จ้าวเทียนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาเพิ่งเคยเห็นคนใส่โต๊ะน้ำชาเอาไว้ในแหวนมิติเป็นครั้งแรก
ที่จ้าวเทียนไม่รู้ก็คือ ตั้งแต่ที่เทพกระบี่ถอนตัวออกจากยุทธภพ เขาก็มักจะออกเดินทางอยู่บ่อยๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจในการบรรลุขอบเขตขั้นต่อไป
ดังนั้นเขาจึงมีแหวนมิติที่ไว้เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวโดยเฉพาะ เพื่อความสะดวกเวลาต้องไปพำนักอยู่ที่ไหนนานๆ
“ พวกเรามานั่งคุยกันเถอะ…เธอไม่ต้องห่วงสถานที่แห่งนี้ได้ถูกปกป้องจากค่ายกลของฉัน ไม่มีใครเข้ามาสอดแนมได้แน่นอน ” เทพกระบี่พูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นกันเอง
หลังจากที่ทั้งคู่นั่งลงแล้ว เทพกระบี่ก็นำชุดน้ำชาออกมารินให้กับจ้าวเทียนด้วยตัวเอง เขาปฏิบัติกับจ้าวเทียนเหมือนผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ได้ยกตัวว่าอยู่สูงกว่าแม้แต่น้อย
ซึ่งเพราะท่าทีแบบนี้เอง ทำให้จ้าวเทียนรู้สึกชื่นชมขึ้นในใจ และเพิ่มความสนิทสนมขึ้นอีกหลายส่วน
“ เธอมาจากโลกภายนอกสินะ…ทั้งยังดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้พลังฝึกตนลดลงกว่าเดิม ”
คำถามของเทพกระบี่ไม่ได้ทำให้จ้าวเทียนแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีทางปิดบังตัวตนจากอีกฝ่ายได้
“ ผู้อาวุโส…คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมาหรือเปล่า ” จ้าวเทียนไม่ได้ตอบ แต่เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายถามเอง
เขาต้องการตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมิตรหรือศัตรู
“ เรื่องสมาพันธ์บู๊ลิ้มงั้นเหรอ… ” แววตาของเทพกระบี่ฟงอู๋หยางสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อสมาพันธ์บู๊ลิ้ม เหมือนตัวเขาเองก็มีความในใจเช่นกัน
“ ฉันขอโทษ ที่ต้องถามคุณแบบนี้ แต่เพราะเรื่องนี้มันสำคัญกับฉันมาก ฉันต้องการรู้ความสัมพันธ์ของคุณกับสมาพันธ์บู๊ลิ้มก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรจะพูดเรื่องอะไรได้บ้าง ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทพกระบี่ฟงอู๋หยางก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ตัวเขาก็พอมองออกว่าจ้าวเทียนไม่ได้เป็นมิตรกับสมาพันธ์บู๊ลิ้มอย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่อยู่ในขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่อย่างพวกเขา การโกหกหลอกลวงเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีคำลวงใดๆปิดบังเจตจำนงกระบี่ของพวกเขาได้
ดังนั้นเพื่อให้ไม่ต้องลำบากใจเวลาพูดคุยกัน ก็ควรจะต้องทำให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
“ ตั้งแต่ที่ฉันประกาศถอนตัวจากยุทธภพเมื่อห้าสิบปีก่อน ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสมาพันธ์บู๊ลิ้มอีกเลย ส่วนทางด้านความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู ”
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ ขอเพียงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายๆที่สมาพันธ์บู๊ลิ้มก่อขึ้นก็พอแล้ว
“ ฉันมีชื่อว่าจ้าวเทียน…อยู่ในตำแหน่งพลเอกของประเทศจีน และเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษเซียนเทียน ” จ้าวเทียนพูดแนะนำตัว พร้อมทั้งถอดหน้ากากออกมาวางไว้บนโต๊ะ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู การใส่หน้ากากเอาไว้มันก็ดูไม่จริงใจเกินไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน