ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งของกงหมิงยู่เมื่อเห็นว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น ก็ได้พาคนของเธอถอยหลบออกมา แม้จะไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากเป็นใคร
แต่ดูจากการที่เขาสามารถตัดแขนเซียนสำนักหัวซานได้ในกระบวนท่าเดียว ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
แต่ถึงแม้เป็นแบบนั้น ก็ต้องไม่ลืมว่าเซียนคนนั้นเป็นเพียงเซียนระดับต่ำ และการลอบโจมตีของเขา ก็มีจุดประสงค์เพียงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวเทียน เพื่อช่วยคนเท่านั้น เขาไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่
นี่จึงเป็นเหตุผลที่กงหมิงยู่ มองว่าพลังฝีมือที่แท้จริงของจ้าวเทียน น่าจะเทียบเท่ากับเซียนระดับต่ำ ซึ่งนี่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วสำหรับคนบนโลกหมิงหลง
‘ ถึงแม้เขาจะเก่งแค่ไหน…แต่ก็ไม่มีทางที่ปรมาจารย์ขั้นกลางจะรับมือกับเซียนสามคนได้หรอก แถมหนึ่งในนั้นยังมีเซียนขั้นกลางอยู่ด้วย ’
สิ่งที่กงหมิงยู่กำลังคิดอยู่ มันก็ตรงกับความคิดของใครหลายๆคน ทำให้พวกเขาอดที่จะส่ายหน้าด้วยความเสียใจไม่ได้ ที่ผู้มีพรสวรรค์ระดับนี้อาจจะต้องจบชีวิตลงต่อหน้าพวกเขา
‘ ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าเขาจะแพ้เลยนะ ’
กงเสี่ยวเหมยคิดขึ้นด้วยความแปลกใจ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดความเชื่อมั่นแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก
“ พวกนายสองคน คอยปิดทางหนีของมันเอาไว้ก็พอ ” โจวซีห่าว ยังไม่อยากลดศักดิ์ศรีของตัวเอง ด้วยการให้เซียนสามคนรุมสังหารปรมาจารย์เพียงคนเดียว
“ รับทราบ ”
เซียนทั้งสองคน บินแยกออกไปด้านข้างและด้านหลังของจ้าวเทียน เพื่อคอยคุมเชิงเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหนีรอด
“ วางแผนกันเสร็จรึยังล่ะ…ฉันรอจนเบื่อแล้ว” จ้าวเทียนพูดออกมาแบบไม่ใส่ใจนัก แม้จะรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างเพราะผ่านการต่อสู้มาตั้งแต่เช้า แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจว่าจะจบการต่อสู้ได้ในเวลาไม่นาน
‘ ตอนนี้พลังของฉันเหลือเพียงแค่ห้าส่วน…คงต้องใช้กระบี่บินจัดการอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด จะได้เหลือพลังพอเข้าร่วมงานประลองกระบี่ได้ ’
“ รู้สึกว่าแกจะรีบตายจังเลยนะ…ก็ดี เพราะฉันก็ไม่อยากเสียเวลาเหมือนกัน ” โจวซีห่าวพูดเสียงเย็นชา เขาตัดสินใจทุ่มพลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งเดียว เพราะไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
แม้ว่าเขาจะพูดจาดูถูกจ้าวเทียน แต่ภายในใจก็ไม่คิดประมาทแม้แต่น้อย ความสามารถในการต่อสู้ข้ามชั้นของอีกฝ่ายมันน่ากลัวเกินไป
คนแบบนี้หากไม่ใช่พวกเดียวกัน ก็ต้องรีบกำจัดให้หายไปจากโลกนี้ซะ อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเติบโต จะได้ไม่มาเป็นเสี้ยนหนามในวันข้างหน้า
“ พลังเซียนรัศมีม่วง! ”
ครืนน!
ร่างของโจวซีห่าวลอยขึ้นบนฟ้า ใบหน้าของเขาเปล่งประกายสีม่วงจางๆ กระแสพลังอันอ่อนนุ่มดุจปุยเมฆ แต่แฝงพลังหยุ่นเหนียว เข้าปกคลุมจ้าวเทียนเอาไว้
นี่คือเคล็ดวิชาสูงสุดอันดับหนึ่งของสำนักหัวซาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพในอดีต
แม้ว่าภายหลังจะมีการคิดค้นเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายออกมา ทำให้เคล็ดวิชานี้ตกลงมาอยู่ในอันดับสอง
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น ทุกคนก็ยังคงหมายมั่นที่จะฝึกฝนวิชานี้ แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาต้องผิดหวังเพราะมันจะถูกถ่ายทอดให้กับศิษย์ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเท่านั้น
ครืนนน!
ตอนนี้จ้าวเทียน เหมือนตกอยู่ในอาณาเขตทะเลเมฆสีม่วง เขารู้สึกว่าความสามารถในการต่อสู้ของตัวเองลดลงไปสามส่วน เหมือนถูกพลังงานบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้
นอกจากนี้ มันยังจะทำให้สิ้นเปลืองพลังมากขึ้นตอนที่ใช้เคล็ดวิชา สำหรับจ้าวเทียนที่ต้องการจะออมแรงเอาไว้ นี่ถือเป็นสถานการณ์ยากลำบากจริงๆ
‘ ในเมื่อมันยุ่งยาก…ก็กำจัดมันทิ้งไปก็แล้วกัน ’
วูป!
จ้าวเทียนปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่ออกมาจากร่าง สลายพลังของอีกฝ่ายออกทันที ทำให้อาณาเขตหนึ่งเมตรรอบตัวจ้าวเทียน ปราศจากพลังของอีกฝ่าย
“ สลายพลังของฉันได้งั้นเหรอ…ฉันคงประเมินแกต่ำไปสินะ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ฉันอยากฆ่าแกมากขึ้น ” พูดจบโจวซีห่าวก็ระเบิดพลังเซียนออกมา
บูมม! โครมมม!
อาณาเขตทะเลเมฆสีม่วงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดดุดัน พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวโถมเข้าใส่จ้าวเทียนจากทุกทิศทาง อย่างมืดฟ้ามัวดิน
ในขณะที่ เจตจำนงกระบี่ของจ้าวเทียนถูกผลักดันกลับมาจนเหลือรัศมีไม่ถึงครึ่งเมตรนั้นเอง โจวซีห่าวก็พุ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้า
“ รุ้งขาวทะลวงตะวัน ”
ฉัวะๆๆๆๆ
รังสีกระบี่สีม่วงเจ็ดสาย แฝงพลังอันเกรี้ยวกราดดุดัน พุ่งทะลวงเข้าใส่จ้าวเทียนจากหลายทิศทาง มันเป็นเคล็ดวิชาที่จ้าวเทียนเคยเผชิญหน้ามาหลายครั้ง
แต่ครั้งนี้เมื่อมันได้ถูกใช้ออกมาด้วยพลังเซียนรัศมีม่วง จ้าวเทียนก็รู้สึกว่ามันน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ แบบนี้ ค่อยน่าสนใจหน่อย ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยอีกฝ่ายก็กระตุ้นให้เขารู้สึกกดดันได้บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“ เจตน์แห่งกระบี่! ”
กระบี่ได้ลอยออกจากมือของจ้าวเทียนด้วยตัวมันเอง และประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเจตจำนงของเขา
วิ้งงง! เฟรี้ยววว!
เส้นลำแสงสีขาวพุ่งออกไปด้วยความเร็วเหนือขีดจำกัด มันฉีกกระชากคลื่นพลังสีม่วงที่กดทับจ้าวเทียนอยู่จนสลายไปในพริบตา
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆ
จากนั้นก็ทะลวงรังสีกระบี่เจ็ดสายจนกระจุย แล้วพุ่งเข้าไปจ่ออยู่ที่กลางหน้าผากของโจวซีห่าว แต่ก็ถูกเขาชักกระบี่มารับเอาไว้ได้ทันด้วยความทุลักทุเล
แกร้ง!ๆๆๆๆ
เกิดการปะทะกันอย่างถี่ยิบ โจวซีห่าวยิ่งสู้ก็ยิ่งรู้สึกกินแรง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวด้วยความหวาดกลัว เขาเริ่มตามความเร็วของกระบี่บินไม่ทัน
‘ เป็นวิชาที่ร้ายกาจจริงๆ…แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าแกจะใช้เคล็ดวิชาระดับนี้ได้นาน ฉันจะรอให้แกพลังหมด แล้วค่อยเข้าไปจัดการแก ’
เมื่อคิดได้แบบนั้น โจวซีห่าวก็ฟันกระบี่ออกไปด้านหน้าด้วยพลังสิบส่วน จนกระบี่ของจ้าวเทียนถูกกระแทกออกไปไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน