ลานประลองหลักงานชุมนุมกระบี่
ยามเมื่อเสียงระฆังขนาดใหญ่ดังก้องไปทั่ว ศิษย์สำนักหัวซานนับพันล้วนยืนเข้าแถวอยู่ตรงลานกว้างข้างเวที โดยแยกออกเป็นสองกลุ่มคือฝ่ายลมปราณซึ่งมีโจวซีห่าวยืนอยู่ด้านหน้าสุด
ส่วนฝ่ายกระบี่นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนนำอยู่ด้านหน้า เขามีชื่อว่าหยางถิงเฟิงเป็นหลายชายของผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ย มีพลังฝึกตนอยู่ระดับเดียวกับโจวซีห่าวที่ขอบเขตเซียนขั้นกลาง
‘ จะว่าไป…ฉันยังไม่เห็นคนจากสำนักห้าขุนเขากระบี่ที่เหลือเลย พวกเขายังมาไม่ถึงงั้นเหรอ ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความแปลกใจ ตอนนี้ภายในลานประลองนอกจากสำนักหัวซานแล้ว ก็มีแต่คนจากสำนักเล็กๆและปรมาจารย์ไร้สังกัดอย่างพวกเขา
ส่วนสำนักที่เป็นตัวเอกที่เหลืออย่าง ซงซาน หานซาน ไท่ซานและเฮ่งซานยังไม่ปรากฏตัว
ทันใดนั้น!
บูมมม!
เสาลำแสงขนาดใหญ่ ระเบิดออกมาจากเขตอาคมทั้งสี่ทิศของสนามประลอง นี่เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ถูกติดตั้งไว้ล่วงหน้า
จากนั้นกลุ่มคนจำนวนมากก็เดินขบวนออกมาอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาต่างปลดปล่อยกลิ่นอายของยอดฝีมือออกมา
ซึ่งไม่ได้ด้อยกว่ากองกำลังของสำนักหัวซานแม้แต่น้อย
“ สำนักซงซาน มาถึงแล้ว ”
“สำนักหานซาน มาถึงแล้ว ”
“ สำนักไท่ซาน มาถึงแล้ว ”
“สำนักเฮ่งซาน มาถึงแล้ว ”
เสียงประกาศการมาถึงของแต่ละสำนักแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เหมือนกับว่าพวกเขาได้ซักซ้อมกันมาก่อนไม่มีผิด
ครืนนน!
พลังกดดันมหาศาล จากผู้อาวุโสระดับเซียนของทั้งสี่สำนัก ปกคลุมไปทั่วลานประลองและเหมือนจะจงใจเล็งเป้ามาที่พวกผู้เข้าร่วมจากโลกหมิงหลงเป็นพิเศษ
พวกเขาต้องการจะข่มขวัญชาวพื้นเมืองโลกหมิงหลง
‘ จำเป็นต้องโอ้อวดขนาดนี้ ด้วยเหรอ ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้เขายืนอยู่กับพวกองค์หญิงแคว้นต้าหมิง ตรงพื้นที่ส่วนรวมสำหรับคนจากโลกหมิงหลงที่ไม่ได้สังกัดสำนัก
ในตอนแรก ผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ยต้องการจัดที่นั่งพิเศษในตำแหน่งผู้อาวุโสฝ่ายกระบี่ให้จ้าวเทียน แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธไป
แรงกดดันเมื่อครู่ทำให้ปรมาจารย์หลายคนทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว หากไม่ใช่เพราะจ้าวเทียนใช้เจตจำนงกระบี่ต้านทานไว้ให้ พวกองค์หญิงเองก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน
‘ ฉันก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะมีความสามารถพอทำให้ฉันเอาจริงได้ การมาร่วมงานครั้งนี้จะได้ไม่เสียเปล่า ’
สำหรับเรื่องเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายสามส่วนแรกที่เป็นรางวัลสำหรับประลอง ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นกับจ้าวเทียนอีกแล้ว
เพราะเขาได้เรียนรู้มาจากเทพกระบี่โดยตรงจากการต่อสู้ แถมอีกฝ่ายยังท่องเคล็ดวิชาให้ฟังจนหมดอีกด้วย
ตอนนี้จ้าวเทียนจึงต้องการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาขอบเขตกระบี่สู่ขั้นต่อไป
“ นายจะเข้าร่วมการประลองแบบไหนล่ะ ” องค์หญิงจูม่านฉีถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะด้วยพลังฝีมือที่แท้จริงของจ้าวเทียน หากให้เขาไปลงประลองในระดับปรมาจารย์ ก็เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก
งานประลองในวันนี้ ถูกจัดเอาไว้สองสนาม โดยสนามแรกจะมีข้อจำกัดอยู่ที่ขอบเขตปรมาจารย์ ส่วนสนามที่สองจะเป็นแบบไม่มีข้อจำกัดด้านพลัง ขอเพียงมีอายุไม่ถึงร้อยปีก็สามารถขึ้นประลองได้เลย
“ สนามไม่จำกัด ” จ้าวเทียนตอบออกมาด้วยความมั่นใจ เรื่องนี้เขาได้ให้ผู้อาวุโสสูงสุดหยางเจี๋ยจัดการใส่ชื่อของเขาลงไปแล้ว
“ ฉันก็คิดไว้แล้ว…แต่นายก็ต้องระวังหน่อยนะ เพราะสนามรบไม่จำกัดในอดีตที่ผ่านมา ต่อสู้กันดุเดือดมาก ทำให้งานชุมนุมสองครั้งก่อน มีหลายคนได้รับบาดเจ็บจนพิการ ”
“ ไม่ต้องเป็นห่วง…พวกเขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ” จ้าวเทียนพูดออกมาตามตรง ศัตรูที่อยู่ในระดับเซียนขั้นกลางส่งผลคุกคามต่อตัวเขาน้อยมาก
ตอนนี้บนเวทีสนามไม่จำกัด ได้มีการจัดการประลองรอบคัดเลือก โดยจะแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมประลองทั้งห้าสิบคนออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีอยู่ห้าคน
โดยที่ทั้งห้าคน จะต้องขึ้นไปสู้กันบนเวทีจนกว่าจะเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว ถึงจะได้เข้าสู่รอบถัดไป
จากที่เห็นในกลุ่มแรก มีขอบเขตปรมาจารย์สองคน ขอบเขตเซียนสามคน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า จ้าวเทียนไม่ใช่ปรมาจารย์เพียงคนเดียวที่เข้าร่วมการประลองสนามไม่จำกัด
แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่กล้าลงประลองในสนามนี้จะเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แตกต่างกับจ้าวเทียนที่เป็นปรมาจารย์ขั้นกลางเท่านั้น
‘ รายชื่อของฉันอยู่ในกลุ่มที่สิบ…ยังพอมีเวลาให้สังเกตการณ์คู่ต้อสู้ในรอบถัดไปได้อยู่ ’
!!
หืม…พวกเธอ
จ้าวเทียนหันไปเห็นกงเสี่ยวเหมยกับกงหมิงยู่ กำลังเดินตรงมาทางพวกเขาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับมาหาคนรู้จัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน