ในเวลาเดียวกันที่สำนักคุนหลุน
กองกำลังพันธมิตรของสี่สำนักซงซาน หานซาน ไท่ซานและเฮ่งซาน ได้มารวมตัวกันตรงประตูด้านหน้าของสำนักคุนหลุน
มองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นจากเขตอาคมเคลื่อนย้ายเรื่อยๆ พวกเขาพากันมายืนตั้งขบวนแยกออกเป็นสี่กลุ่ม ตามสำนักของพวกตน
ครั้งนี้อาจจะเป็นสงครามระหว่างสำนักขนาดกลางครั้งแรกในรอบห้าร้อยปี นับตั้งแต่สมาพันธ์บู๊ลิ้มได้ก่อตั้งขึ้นมา
อีกทั้งยังเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง สำนักระดับกลางชั้นแนวหน้าสี่สำนักกับสำนักระดับกลางที่อยู่ในช่วงตกต่ำเพียงสำนักเดียว
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้เรื่องนี้ ก็คงจะคาดเดาผลสุดท้ายเอาไว้แล้ว ไม่มีทางที่สำนักคุนหลุนจะรอดพ้นชะตากรรมครั้งนี้ไปได้แน่นอน
แวบ!
เสาลำแสงขนาดใหญ่ได้หายไป พร้อมกับกองกำลังพันธมิตรชุดสุดท้ายที่มาถึง โดยคนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยเจ้าสำนักทั้งสี่ และบรรดาผู้อาวุโสระดับสูง
“ มัวรออะไรกันอยู่…ทำไมถึงยังไม่เริ่มทำลายค่ายกลชั้นที่สองของพวกมัน ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยความโมโห
เขาได้สั่งการไปแล้ว ว่าให้รีบทำลายค่ายกลชั้นที่สองตรงประตูหน้าสำนักคุนหลุนให้ไว้ที่สุด เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถตั้งตัวได้ทัน
“ ท่านเจ้าสำนัก…คือว่าฉัน ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาหา แต่เขาก็พูดอำอึ้งขึ้นด้วยความร้อนรน
จ้อเซียงหยุนที่เห็นแบบนั้นก็แค่นเสียงออกมา เขาผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยความโมโห แล้วเดินเหยียบอากาศขึ้นไปบนฟ้า เพื่อจะไปดูสถานการณ์ด้วยตาตัวเอง
รอยกระบี่สายหนึ่งเฉือนพื้นดินจนแยกออกเป็นทางยาว แบ่งแยกกองกำลังแนวหน้าของพันธมิตรสี่สำนักกับกองกำลังของสำนักคุนหลุนเอาไว้
ไม่ว่าผู้ใดที่รุกล้ำข้ามรอยแยกนั้นมา จะถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี โดยจะเห็นได้จากซากศพหลายสิบซาก ที่ถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆด้านในรอยแยก
“ นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น… ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยแววตาตกใจ เขามองเห็นหนึ่งในบรรดาซากศพเหล่านั้น เป็นถึงผู้อาวุโสเซียนขั้นสูงของสำนักเขาเอง
สายตาของเขากวาดมองศพที่กองอยู่ไปเรื่อยๆ จนไปหยุดลงที่ชายคนหนึ่ง เขาสวมหมวกงอบปกปิดใบหน้าเอาไว้
อีกทั้งยังนั่งยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอย่างสบายใจ อยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ดูหรูหรา ซึ่งเมื่อสังเกตดูดีๆก็จะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากอณูเปลวเพลิงขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน
แท้จริงแล้ว ชายคนนี้ก็คือจ้าวเทียนนั่นเอง เหตุผลที่เขามานั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพราะความเท่ แต่สิ่งที่อยู่ในขวดมันคือเหล้าที่ถูกหมักโดยสมุนไพรล้ำค่า และเมื่อนำมารวมกับเลือดมังกรแก่นแท้หนึ่งหยด
มันจึงกลายเป็นสุดยอดโอสถฟื้นฟู ที่จิบเพียงนิดเดียวก็สามารถฟื้นคืนพลังได้ทั้งหมด จ้าวเทียนได้เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้อันยาวนานที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
‘ เหอะ…ก็แค่เซียนขั้นต่ำ ’
เมื่อเห็นพลังของอีกฝ่าย จ้อเซียงหยุนก็แค่นเสียงในใจด้วยความดูถูก ตอนแรกเขาเห็นชายคนนี้วางท่าดูใหญ่โต ก็นึกว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของอีกฝ่ายเสียอีก
‘ น่าจะเป็นฝีมือของเซียนระดับสูงสุดในสำนักคุนหลุน…ไม่นึกว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักคุนหลุนตายไป ยังจะมียอดฝีมือระดับนี้หลงเหลืออยู่ ’
ก่อนจะตัดสินใจโจมตี จ้อเซียงหยุนได้ตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างของสำนักคุนหลุนไว้แล้ว ตั้งแต่กองกำลังระดับปรมาจารย์ไปจนถึงระดับเซียน
ถึงแม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายยังมียอดฝีมือระดับสูงซ่อนตัวอยู่โดยที่เขาไม่รู้ แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสงครามในครั้งนี้ได้หรอก
หลังจากตรวจสอบกองกำลังฝ่ายศัตรูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่อาจหายอดฝีมือคนนั้นเจอ เขาก็เลิกสนใจแล้วทะยานร่างลงมายืนอยู่ที่ด้านหน้าคนของตัวเอง
อย่างไรซะ…เมื่อพวกเขาลงมือ อีกฝ่ายก็ต้องปรากฏตัวออกมาเอง
ที่มาพร้อมกับจ้อเซียงหยุน ยังมีเจ้าสำนักทั้งสามและผู้อาวุโสระดับสูงอีกเกือบยี่สิบคน ซึ่งการปรากฏตัวของเซียนระดับสูงจำนวนมากได้สร้างความกดดันอันหนักหน่วง ให้กับฝ่ายศัตรูทุกคน
“ ไม่ทราบว่า เจ้าสำนักทั้งสี่มาเยือนสำนักของฉันด้วยจุดประสงค์อะไรงั้นหรือ ”
เปียนเจียวเมิ่งเดินนำเหยียนซือหนิงและเซียนขั้นสูงอีกสองคนออกมา นอกจากนี้ยังมีเซียนขั้นกลางอีกสี่คนซึ่งแต่ละคนได้ถือแผ่นหยกควบคุมค่ายกลเอาไว้
“ หืม…นี่เธอกลายเป็นเจ้าสำนักจนได้สินะ ฉันขอแสดงความยินดีด้วยแล้วกัน ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาเห็นอีกฝ่ายสวมชุดเจ้าสำนักออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่าแผนการยุยงให้แตกแยกของตัวเองคงล้มเหลวแล้ว
การที่ตระกูลเหยียนกับตระกูลเปียนต้องมาขัดแย้งกัน ก็เพราะมีจ้อเซียงหยุนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง เขาต้องการให้ศัตรูต่อสู้กันเอง แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
“ สำหรับเรื่องจุดประสงค์ของพวกเรานั้น…ก็คือจับตัวเหยียนซือหนิง และลบสำนักคุนหลุนออกจากยุทธภพ ในโทษฐานให้ความส่วนมือกับผู้ถูกประกาศิตล่าสังหาร ” จ้อเซียงหยุนพูดออกมาด้วยแววตาเย็นชา
“ งั้นเหรอ…ฉันนึกว่าคุณกำลังหมายตาคลังสมบัติลับของพวกเราเสียอีก ” เปียนเจียวเมิ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเธอนิ่งสงบไม่ได้มีความหวาดกลัวฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
“ เหอะ…เธออยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ยังไงซะวันนี้สำนักคุนหลุนที่สืบทอดมาหลายพันปี ก็ต้องถูกทำลายแน่นอน ” จ้อเซียงหยุนพูดอกกมาด้วยท่าทีมั่นใจ
“ ดูเหมือน…คุณจะมั่นใจมากเลยนะ คิดว่าจะทำลายสำนักของพวกฉันได้ง่ายๆงั้นเหรอ ” เหยียนซือหนิงพูดขึ้นด้วยแววตาดุดัน
กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด จ้าวเทียนได้เล่าให้เธอฟังทุกอย่างว่าตั้งแต่ที่เธอจากไป ครอบครัวของเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง นอกจากคนรักที่ตายจากไปแล้ว ลูกๆของเธอก็ยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน