กระบี่เมื่อครู่ของจ้าวเทียน ได้ทำลายความเย่อหยิ่งอวดดีของผู้อาวุโสระดับสูงทั้งสี่สำนักไปจนสิ้น
“ บัดซบ! ”
เจ้าสำนักไท่ซานตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล ที่สำนักเขาต้องสูญเสียยอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นสูงไปถึงสามคนตั้งแต่สงครามยังไม่เริ่ม
ซึ่งสำนักไท่ซานของเขา มียอดฝีมือระดับนี้เพียงแค่หกคนเท่านั้น และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือตัวเขาเป็นคนสั่งให้สามคนนั้น ออกไปทดสอบศัตรูเอง
เพราะมั่นใจในเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกาย ว่ามีพลังป้องกันเป็นอันดับหนึ่งในห้าขุนเขากระบี่ทั้งหมด
“ เป็นยังไงบ้าง ” จ้อเซียงหยุนหันไปถามเจ้าสำนักเฮ่งซานที่ยืนอยู่ด้านหน้า
เพราะรังสีกระบี่ของจ้าวเทียน นอกจากมันจะฟันร่างของผู้อาวุโสสามคนนั้นขาดแล้ว ก็ยังทะลุมาหาพวกเขาที่เหลือด้านหลังด้วย แต่ก็ได้เจ้าสำนักเฮ่งซานเป็นผู้ป้องกันไว้
“ เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับพวกเรา ไม่ผิดแน่ ” เจ้าสำนักเฮ่งซานพูดขึ้นด้วยแววตาเคร่งเครียด
ในขณะที่พวกเขากำลังปรึกษากันนั้นเอง กองกำลังพันธมิตรสี่สำนักทั้งหมด ก็ได้มาถึงตรงจุดที่พวกจ้าวเทียนอยู่
ครั้งนี้สี่สำนักทุ่มคนออกมาถึงสี่พันคน แบ่งออกเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสามพันคน ปรมาจารย์เก้าร้อยคน และขอบเขตเซียนหนึ่งร้อยคน
ด้วยขุมกำลังขนาดนี้ สามารถต่อกรกับสำนักระดับสูงได้สบาย ทำให้สำนักคุนหลุนแทบจะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
‘ ดูเหมือน…สิ่งที่ฉันพูดไปตอนอยู่งานชุมนุมกระบี่จะส่งผลอยู่บ้าง ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ด้วยความทรงจำแบบภาพถ่าย ขอเพียงเขาเคยเห็นหน้าเพียงครั้งเดียวก็จะไม่มีวันลืม ในกลุ่มกองกำลังฝ่ายศัตรูมีศิษย์ยอดฝีมือหลายร้อยคนไม่ได้มาด้วย
คนเหล่านั้นเป็นผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ และถูกคำพูดของจ้าวเทียนเตือนสติให้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง คำพูดของจ้าวเทียนในครั้งนั้น ได้ทำให้เจ้าสำนักทั้งสี่ปวดหัวมาก เพราะพวกลูกศิษย์ที่มีนิสัยรักคุณธรรม พากันได้รับบาดเจ็บโดยไม่รู้สาเหตุ เพื่อที่จะไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้าร่วมสงคราม
นอกจากนี้ พวกศิษย์ที่ใจไม่แข็งพอจะทำร้ายตัวเองให้ได้รับบาดเจ็บ ก็มาเข้าร่วมสงครามแบบขอดูอยู่ห่างๆ พวกเขาตั้งใจว่าจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้มากที่สุด
ทำให้ตอนนี้กองกำลังฝ่ายศัตรูจะมีคนที่ตั้งใจสู้จริงๆ เพียงห้าถึงหกส่วนเท่านั้น
“ เจ้าสำนักจ้อ…พวกเราจะเอายังไงดี คุณคิดว่าชายคนนั้นจะเป็นจ้าวเทียนหรือเปล่า ” เจ้าสำนักไท่ซานถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ตอนนี้กองกำลังของพวกเขาพร้อมแล้ว แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นจ้าวเทียนจริงๆ ต่อให้มีคนมากว่านี้ก็คงสู้ไม่ไหว
“ ถึงขั้นนี้แล้ว…ก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้น ต่อให้ชายคนนั้นเป็นจ้าวเทียนจริงๆ ก็คงยังได้รับบาดเจ็บอยู่แน่นอน ถ้าพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน ฉันเชื่อว่าต้องสังหารเขาได้ ” จ้อเซียงหยุนพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ ใช่แล้ว…แต่ถ้ามันเป็นจ้าวเทียนก็ดี จะได้สังหารทิ้งให้หมดสิ้นปัญหาไป ” เจ้าสำนักเฮ่งซานพูดเสียงเย็นชา แม้แต่เจ้าสำนักหานซานที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
ยังไงซะ ก็ประกาศตัวเป็นศัตรูไปแล้ว จะอยู่เฉยรอให้อีกฝ่ายไปไล่สังหารทีละสำนัก หรือควรจะตัดสินใจร่วมมือกันสู้ตายซักครั้ง คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“ เซียนขั้นสูงทุกคน…คอยดูแลให้กองกำลังทั้งหมดของพวกเรา ช่วยกันทำลายค่ายกลสำนักคุนหลุน ส่วนฉันกับเจ้าสำนักคนอื่นจะจัดการศัตรูเอง ” จ้อเซียงหยุนสั่งการออกมาเสียงดัง
“ รับคำสั่ง! ”
เซียนขั้นสูงทุกคน แยกกันออกไปสั่งการกองกำลังของสำนักตัวเองทันที จากนั้นเจ้าสำนักทั้งสี่ก็ทะยานร่างขึ้นไปบนฟ้า ยืนเหยียบอากาศก้มมองดูจ้าวเทียนด้วยแววตาดุดัน
“ ถึงเวลาแล้วซินะ…ท่านยาย ท่านแม่และผู้อาวุโสทุกท่าน ผมฝากจัดการเรื่องทางนี้ด้วยนะครับ ” จ้าวเทียนหันไปบอกฝ่ายตนเอง
ฝ่ายตรงข้ามกำลังท้าทายให้เขาขึ้นไปสู้กันบนท้องฟ้า เพราะหากพวกเขาต่อสู้กันตรงนี้ ทุกอย่างอาจจะถูกทำลายจนหมด
ไม่ใช่แค่กองกำลังฝ่ายศัตรูเท่านั้น ที่จะโดนลูกหลง แต่มันยังรวมไปถึงค่ายกลป้องกันสำนักคุนหลุนด้วย
“ ไม่มีปัญหา…ด้วยค่ายกลที่เธอปรับปรุงขึ้นใหม่ พวกเราต้องป้องกันสำนักเอาไว้ได้แน่นอน ” เปียนเจียวเมิ่งพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ ลูกเทียน…ระวังตัวด้วย ถ้าสู้ไม่ได้จริงๆก็ให้รีบหนีไปเลยนะ เพราะหากลูกเป็นอะไรไป แม่คงทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน ” เหยียนซือหนิงพูดด้วยท่าทีเป็นกังวล
ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดสี่คน ในขณะที่ลูกชายของเธอใช้พลังได้ในระดับเซียนขั้นต่ำเท่านั้น มันแตกต่างกันถึงสามขั้น
เธอได้สูญเสียสามีไปแล้ว ถ้าเกิดยังต้องมาเสียลูกชายไปต่อหน้าต่อตาอีก คงสูญสิ้นความหวังในการมีชีวิตอยู่ไปแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน