บนลานกว้างหน้าห้องรับรอง จ้าวเทียนกำลังช่วยน้องชายและน้องสาวของเขาปรับพื้นฐานทางร่างกาย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกยุทธ
โดยวิชาที่เขาสอนให้นั้นก็คือร่างจุติแห่งดวงดาว เป็นวิชาขั้นสูงของสำนักดาราสวรรค์ที่มีเพียงศิษย์สายในขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้เรียนรู้ มันเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นมากเพราะจะช่วยเสริมสร้างเส้นชีพจร และเพิ่มพูนพลังวิญญาณ
ต้องบอกเลยว่าตลอดสองวันที่ผ่านมา จ้าวเทียนได้ใช้ทรัพยากรมากมายที่เขาได้มาจากแหวนมิติของสี่เจ้าสำนักขุนเขากระบี่ ในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับคนข้างกาย และปรมาจารย์สองร้อยคนที่เข้าร่วมกับฝ่ายเขา
ซึ่งมันก็ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ทุกคนต่างมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถึงกับมีปรมาจารย์ขั้นกลางห้าสิบคนยกระดับขึ้นเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงได้เลยทีเดียว
ครืนนนน! ก๊าชชชช!
เปลวเพลิงสีแดงได้ระเบิดออกมาจากร่างของเหยียนซือหนิง เสียงกู่ร้องของหงส์เพลิงดังก้องไปทั่วจวนเจ้าเมือง หากไม่มีเขตอาคมปกปิดไว้ มันคงจะสร้างความแตกตื่นให้ประชาชนในเมืองเหล็กดำแน่นอน
“ ดูเหมือน แม่จะฝึกเคล็ดอมตะจูเชว่สำเร็จถึงขั้นกลางแล้วสินะ ” จ้าวเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นี่เป็นเคล็ดวิชาระดับศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นของสัตว์เทวะหงส์เพลิงในแดนสวรรค์ วิชาเดียวกับที่เขาถ่ายทอดให้โม่ปิงหยู
‘ เพราะเลือดแก่นแท้มังกร ทำให้แม่ของฉันมีพลังชีวิตเหนือกว่าคนทั่วไปเกือบสิบเท่า ยิ่งเมื่อได้ฝึกฝนเคล็ดอมตะจูเชว่เข้าไปอีก เรื่องอายุขัยของแม่ก็คงไม่มีปัญหาแล้ว ’
หลังเสร็จสิ้นการฝึกรอบเช้า ทั้งครอบครัวก็มานั่งรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข โดยมื้อนี้เหยียนซือหนิงเป็นคนเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเอง
บรรยากาศอบอุ่นเหมือนวันคืนในอดีต ได้ทำให้จ้าวเทียนรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ
“ วันนี้ลูกจะออกเดินทางแล้วใช่ไหม…ต้องการความช่วยเหลือจากแม่หรือเปล่า ” เหยียนซือหนิงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ ไม่เป็นไรครับ…แค่ไปรับคนกับจัดการธุระเล็กน้อยเท่านั้น ไม่กี่วันก็คงกลับมาแล้ว ผมอยากให้แม่ช่วยอยู่คุ้มครองตระกูลฉินมากกว่า ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาเล่าเรื่องกงเสี่ยวเหมยและสำนักสุสานโบราณให้ทุกคนฟังแล้วก่อนหน้านี้
“ พี่ใหญ่…พาหนูไปด้วยได้ไหม ” เหยียนเมิ่งฉีวิ่งเข้ามาเกาะแขนจ้าวเทียน พลางส่งสายตาออดอ้อน การที่ต้องฝึกวิชามาหลายวันทำให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ย่อมรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา
แม้แต่เหยียนเมิ่งเป่าเองก็มองมาด้วยสายตาละห้อยเช่นกัน เขาเองก็อยากติดตามพี่ชายออกไปผจญภัยในยุทธภพ ตามเรื่องเล่าหรือนิทานที่เคยได้ฟัง
“ ไว้ทั้งสองคนทะลวงขอบเขตผู้เชี่ยวชาญเมื่อไหร่…พี่ถึงจะพาออกไปด้วยนะ พวกน้องจะได้มีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้ ” จ้าวเทียนใช้มือลูบไปที่ศีรษะน้องๆอย่างเอ็นดู
“ ตอนนี้หนูกับพี่เมิ่งเป่าก็เป็นนักสู้ระดับหกแล้วนะ พวกเราปกป้องตัวเองได้แน่นอน ให้พวกเราติดตามไปด้วยนะคะ ” เหยียนเมิ่งฉีปีนขึ้นมานั่งบนตักของจ้าวเทียน แล้วกอดคอเขาเอาไว้เหมือนลูกลิง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปด้วยให้ได้
“ เอ่อ…เรื่องนี้มัน ” จ้าวเทียนเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก ยิ่งได้เห็นแววตาอ้อนวอนเหมือนลูกแมวของน้องสาว เขาก็เริ่มจะใจอ่อนขึ้นมา
เหยียนซือหนิงที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนใจ แล้วพูดดุลูกสาวเสียงดัง
“ เดี๋ยวเถอะเมิ่งฉี…หนูกำลังทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจนะ แม่รู้นะว่าที่หนูอยากออกไปเที่ยวข้างนอก ก็เพราะไม่อยากเรียนหนังสือใช่ไหม ”
พอพูดถึงเรื่องเรียน สีหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยก็เปลี่ยนไปทันที เธอมองไปทางแม่ของตัวเองด้วยตาละห้อย แต่เหมือนเหยียนซือหนิงจะมีภูมิต้านทานเป็นอย่างดี มันจึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ในระหว่างที่จ้าวเทียนกำลังมองแม่กับน้องสาวทำสงครามเย็นกันอยู่ ห้องรับประทานอาหารของพวกเขาก็มีแขกสามคนมาเยือน
“ เด็กๆ…ได้เวลาไปเรียนหนังสือแล้วนะ ” หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอก็คือพี่สาวคนรองของคังหลิน ซึ่งปัจจุบันรับหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือให้กับน้องๆของจ้าวเทียน
เนื่องจากตัวตนของครอบครัวจ้าวเทียนถูกปิดเป็นความลับ จึงไม่สามารถจ้างครูสอนหนังสือจากภายนอกเข้ามาได้ หน้าที่นี้จึงตกมาเป็นของพี่สาวรองแทน
หากวัดกันที่ความสามารถด้านวิชาการ นอกจากองค์หญิงฉินฟ่านเออร์ที่กำลังยุ่งอยู่กับการบริหารราชการแผ่นดิน ในตระกูลฉินก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าพี่สาวรองอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน