จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 302

ภายในเขตหวงห้ามของสำนักสุสานโบราณ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หยางถิงเฟิงก็ได้สติลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ด้วยอาการมึนงงและสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น

‘ นี่ฉันหมดสติไปใช่ไหม…คลื่นพลังนั่นมันคืออะไรกัน แม้แต่เซียนขั้นกลางอย่างฉัน ยังไม่อาจต้านทานได้ซักเสี้ยววินาที ’

หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสนามรบ ไม่ใช่ว่าเขาต้องนอนนิ่งเป็นเหยื่อให้ศัตรูจัดการได้ตามใจงั้นเหรอ

สายตาของหยางถิงเฟิงกวาดมองไปด้านข้าง ก็พบกับกงม่านเออร์ที่กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน

“ เธอตื่นแล้วสินะ…ลองตรวจสอบดูว่าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ” กงม่านเออร์ถามออกมาด้วยท่าทีเคร่งเครียด หยางถิงเฟิงนั้นเป็นถึงศิษย์สืบทอดของเจ้าสำนักหัวซาน ทั้งยังเป็นตัวแทนสำนักมาช่วยเหลือพวกเธออีก

หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขาที่นี่ เธอคงไม่มีหน้าไปพบกับเจ้าสำนักหัวซานแน่นอน

“ ฉันไม่เป็นอะไร…ว่าแต่ คุณรู้หรือเปล่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้อาวุโสเทียนถึงกลายเป็นแบบนั้น ” หยางถิงเฟิงถามอีกฝ่ายกลับไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่จ้าวเทียนและร่างหญิงสาวบนเตียงหยกเหมันต์ด้วยความกังวล

ตอนนี้ได้มีคลื่นพลังสีทองจางๆ ปกคลุมตัวจ้าวเทียนและบรรพชนสำนักสุสานโบราณนั้นเอาไว้เหมือนดักแด้ สีหน้าของจ้าวเทียนปราศจากกลิ่นอายชีวิต เหมือนเป็นเพียงหุ่นขี้ผึ้งที่ไร้จิตใจ

ซึ่งถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่าต้นกำเนิดของพลังแปลกประหลาดพวกนั้นมาจาก เศษโลหะชิ้นเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในบาดแผลตรงกลางหน้าผากของบรรพชนสุสานโบราณ

“ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…เพราะเพิ่งจะได้สติก่อนเธอประมาณสามสิบนาทีนี่เอง จากที่ฉันลองประเมินดู พวกเราน่าจะหมดสติไปประมาณสองชั่วโมงเห็นจะได้ ” กงม่านเออร์พูดขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก

“ สองชั่วโมง…นี่คุณหมายความว่า ผู้อาวุโสเทียนอยู่ในสภาพแบบนี้มานานขนาดนั้นแล้วเหรอ คุณต้องรีบทำอะไรซักอย่างนะ หากเขาไม่ฟื้นขึ้นมาจะเป็นยังไง ” หยางถิงเฟิงพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ

ทางฝ่ายกงม่านเออร์เป็นผู้มาขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่ยอมบอกถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมาก่อน

อีกทั้งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เธอก็กลับไม่ลงมือทำอะไรเลย แค่เพียงยืนดูอยู่เฉยๆเท่านั้น มันออกจะไร้ความรับผิดชอบเกินไปแล้ว

กงม่านเออร์ที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อดี แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเช่นกัน

“ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้…มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนตลอดหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา ตามที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ยอดฝีมือที่มีขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่สามคนแรกที่ล้มเหลว ก็เป็นเพราะไม่สามารถเชื่อมต่อกับเศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เท่านั้น ”

“ สภาพที่เกิดขึ้นในตอนนี้…ตัวฉันเอง หรือแม้กระทั่งอดีตเจ้าสำนักสุสานโบราณรุ่นก่อนทุกคน ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนเลย ” กงม่านเออร์อธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ ว่ายังไงนะ…หมายความว่า แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่ามันจะจบลงแบบไหนเหรอ พอกันที ฉันจะไปนำตัวผู้อาวุโสเทียนออกมาเอง” หยางถิงเฟิงพูดขึ้นเสียงดัง จากนั้นก็กระตุ้นพลังเซียนคุ้มครองร่างกาย เดินเข้าไปหาจ้าวเทียนในทันที

พวกเขาไม่ได้มีเวลาว่าง จะมายืนรออยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆหรอกนะ…

กงม่านเออร์ที่เห็นแบบนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วรีบตะโกนห้ามออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งเคลื่อนไหวในพริบตา พยายามจะไปคว้าตัวหยางถิงเฟิงเอาไว้

“ ระวัง รีบถอยออกมาเร็ว ”

วิ้งงงง!

ฉัวะ!

รังสีกระบี่สายหนึ่งฟันกวาดผ่านหน้าของหยางถิงเฟิงไป ห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว กากไม่ใช่เพราะกงม่านเออร์ดึงตัวเขาหลบออกมาได้ทัน คงถูกแยกร่างออกเป็นสองส่วนแล้ว

“ นี่มัน… ” หยางถิงเฟิงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่เคยสัมผัสถึงความตายแบบใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน

วิ้งงงง!

กระบี่สีทองเล่มหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าหยางถิงเฟิง โดยหันส่วนคมกระบี่เข้าใส่ตรงกลางหน้าผากของเขาพอดี

เหมือนเป็นคำเตือน ว่าหากยังก้าวเข้ามาแม้เพียงก้าวเดียวจะถูกสังหารทันที

“ นี่คงเป็นอาวุธประจำตัวของผู้อาวุโสเทียนน่ะ…มันต้องการปกป้องร่างกายของผู้เป็นนาย ไม่ว่าใครก็ตาม ที่เข้าไปในอาณาเขตสิบเมตรรอบตัวผู้เป็นนาย จะถูกโจมตีโดยไม่ละเว้น ” กงม่านเออร์พูดออกมาด้วยความหวาดกลัว

หากลองสังเกตดีๆ จะพบว่าที่แขนเสื้อด้านซ้ายของเธอ มีรอยขาดจากของมีคมอยู่ เพราะก่อนหน้าที่หยางถิงเฟิงจะตื่น เธอก็พยายามจะเข้าไปช่วยจ้าวเทียนเช่นกัน แต่ก็ถูกกระบี่เล่มนี้โจมตีเข้าใส่ จนต้องลนลานหลบหนีออกมาอย่างสิ้นท่า

ไม่ใช่ว่าเธอสู้กับจิตวิญญาณของกระบี่ราชันสวรรค์ไม่ได้ แต่เพราะข้อจำกัดของสถานที่ จึงทำให้ไม่สามารถลงมือได้เต็มที่

ตอนนี้ทั้งสองคน เลยทำได้เพียงเฝ้าดูจ้าวเทียนด้วยความเป็นห่วงอยู่ห่างๆเท่านั้น

ภายในโลกแห่งจิตวิญญาณ

แม้โลกภายนอกจะผ่านไปเพียงแค่สองชั่วโมง แต่ในสถานที่แห่งนี้ กระแสเวลาไหลผ่านรวดเร็วกว่าภายนอกนับสิบเท่า

ในตอนนี้เอง การต่อสู้ของสองมหาเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้ดำเนินมาถึงวันที่ยี่สิบแล้ว คลื่นพลังที่เกิดจากการปะทะของพวกเขา ได้ทำลายดวงดาวนับล้านแหลกสลาย

เส้นทางที่พวกเขาผ่านไป หลงเหลือเพียงพื้นที่สีดำว่างเปล่าปราศจากสิ่งใด ไม่หลงเหลือแม้เพียงเศษฝุ่น เป็นการสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง

ตูมมม!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ร่างทิพย์สิบตะวันของมหาเทพจูเซียนกระเด็นไปด้านหลังอย่างรุนแรง ดวงดาวนับร้อยที่ขวางทางอยู่ระเบิดเป็นจุลในพริบตา โดยมีจ้าวเทียนฝ่ามิติตามมาอย่างใกล้ชิด

เคร้ง!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉัวะ!ๆๆๆ

แม้เผชิญหน้ากับการโจมตีอันดุดันของจ้าวเทียน มหาเทพจูเซียนก็ยังคงรับมืออย่างรัดกุม ไม่ได้แสดงท่าทีหวั่นเกรงแม้แต่น้อย

กระบี่ของพวกเขา ปะทะกันอย่างถี่ยิบจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สำหรับผู้ที่บรรลุแก่นแท้แห่งกระบี่อย่างพวกเขาแล้ว เคล็ดวิชาและกระบวนท่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป

เนื่องจากเคล็ดวิชาทั้งหมด ได้หลอมรวมอยู่ในแก่นแท้หมดแล้ว เพียงฟันกระบี่ออกไปแบบธรรมดา ก็ทรงอานุภาพมากกว่าใช้เคล็ดวิชาหลายเท่า

ฉัวะ!

แขนซ้ายของมหาเทพจูเซียนได้ถูกฟันขาดเสมอไหล่ เพราะแก่นแท้ของจ้าวเทียนนั้น ได้หลอมรวมเคล็ดกระบี่บูรพาสังหารเข้าไปด้วย จึงทำให้ความเร็วและเฉียบคมเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน