ปรากฏการณ์สั่นพ้องของพลังฟ้าดินนั้น แม้จะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่อึดใจ แต่ก็สร้างความแตกตื่นให้กับยอดฝีมือมากมายที่สัมผัสได้ โดยเฉพาะห้าผู้นำแห่งสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ที่จำเป็นต้องปรึกษาวางแผนรับมือกันอย่างเร่งด่วน
“ เหตุการณ์นี้ มันคล้ายกับตอนที่เจ้าตำหนักเทวะบรรลุขอบเขตแดนเทพไม่มีผิด และยิ่งมาเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่สงครามจะเริ่มอีก”
“ ฉันสามารถคาดเดาได้เพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือเป็นฝ่ายศัตรูที่กำลังเร่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้ขุมกำลังของตนแน่นอน ” เจ้าสำนักบู๊ตึ้งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ จะรีบด่วนสรุปเกินไปหรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนของฝ่ายเราก็ได้ ปรากฏการครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนเจ้าตำหนักเทวะซะทีเดียว บางทีอาจจะมีใครสักคนสามารถบรรลุขอบเขตเซียนนภาได้สำเร็จ ก็ไม่แน่นัก ” ประมุขพรรคกระยาจกพูดขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย
ตัวเขาใกล้จะหมดอายุขัยเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจบรรลุขั้นเซียนนภาได้เสียที ขอบเขตนี้เป็นเหมือนตำนานที่จับต้องไม่ได้ อีกทั้งในสองพันปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน
จนอดคิดไม่ได้ว่า…เซียนนภาเป็นเพียงเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น
แต่หากมีใครทำสำเร็จขึ้นมาล่ะ สิ่งนี้จะช่วยพลิกชีวิตของใครหลายๆคนได้แน่นอน เพราะถ้ามีคนแรกแล้ว มันก็จะต้องมีคนที่สองและสามตามมาแน่นอน
“ หลวงจีนคิ้วขาว ท่านตรวจสอบสถานที่บรรลุขอบเขตของคนผู้นั้นได้ไหม ” เจ้าสำนักง้อไบ๊ถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ตัวเธอและคนอื่นๆอาจจะทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะสร้างเขตอาคมปิดกั้นเอาไว้
แต่หลวงจีนคิ้วขาวนั้นต่างกัน เนื่องจากท่านมีเคล็ดวิชาเนตรแห่งพุทธะที่สามารถมองเห็นเส้นใยแห่งกรรมได้
หากลองตรวจสอบจากกลิ่นอายของคนผู้นั้น ที่ตกค้างอยู่ในพลังฟ้าดินดู อาจจะสืบหาที่มาได้บ้าง
เมื่อรู้สึกถึงทุกสายตาที่จับจ้องมา หลวงจีนคิ้วขาวก็ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดขึ้น
“ อามิตาพุทธ…อาตมาคิดว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องหารือเรื่องนี้อีกต่อไป ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับศัตรูที่มาจากแดนสวรรค์แน่นอน ”
!!
“ หมายความว่า…ท่านรู้จักเขางั้นหรือ ” เจ้าสำนักง้อไบ๊พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ ที่อีกฝ่ายมั่นใจขนาดนี้หรือว่าได้ใช้เนตรแห่งพุทธะตรวจสอบดูแต่แรกแล้ว
“ ไม่ใช่เพียงแค่อาตมาเท่านั้น…พวกประสกเองก็รู้จักเขาเช่นกัน ทั้งยังเคยปะมือกันมาก่อนอีกด้วย ” หลวงจีนคิ้วขาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ นี่มัน…หรือว่าจะเป็นเขา ” เจ้าสำนักช้วนจินก่าที่เงียบมาตลอดฉุกคิดได้เป็นคนแรก ทำให้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฝ่ายเจ้าสำนักบู๊ตึ้งและง้อไบ๊ที่เห็นท่าทีของสหาย ก็เกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นทันที คนที่พวกเขาทั้งสามคนเคยปะมือด้วยก็มีไม่มากนัก แต่เมื่อเร็วๆนี้ก็เพิ่งจะมีอยู่คนหนึ่งพอดี
“ เป็นไปไม่ได้…ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด จ้าวเทียนเพิ่งจะฝึกฝนมาไม่กี่ปี จะไปบรรลุขอบเขตนั้นได้ยังไง ” เจ้าสำนักบู๊ตึ้งรีบพูดปฏิเสธขึ้นอย่างร้อนรน แม้ในใจของเขาจะเชื่อไปแล้วก็ตาม
“ พวกเราจะทำยังไงดี นิสัยของจ้าวเทียนเป็นคนจดจำความแค้นอยู่แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ต่อให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน ก็คงไม่มีประโยชน์ ” เจ้าสำนักง้อไบ๊พูดขึ้นด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
“ ฉัน… ” เจ้าสำนักบู๊ตึ้งรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก เพราะตัวเขาเป็นคนวางแผนการชั่วร้ายทั้งหมด ถ้าอีกฝ่ายจะแก้แค้นก็คงมาหาเขาเป็นคนแรกแน่นอน
ในขณะที่สามผู้นำรุ่นใหม่ กำลังหันมองสบตากันเองด้วยความอับจน ประมุขพรรคกระยาจกก็แค่นเสียงออกมาแล้วพูดขึ้น
“ เหอะ…ถึงตอนนี้แล้วเพิ่งจะมานึกเสียใจงั้นรึ ฉันกับหลวงจีนคิ้วขาวเตือนพวกแกไปตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ยอมฟัง ดันทุรังจะเปิดสงครามให้ได้ ”
“ เป็นยังไงล่ะ…นอกจากแผนการจะล้มเหลวแล้ว ยังไปสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งโดยไม่จำเป็นอีก ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ห้ามดึงสมาพันธ์ไปเกี่ยวข้องด้วย ”
“ แค่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มาจากแดนสวรรค์ สมาพันธ์บู๊ลิ้มก็อยู่ในช่วงวิกฤตพอแล้ว หากยังต้องมาต่อสู้กับคนบนโลกเดียวกันอีกพวกเราคงจบสิ้นแน่ ”
สิ่งที่ประมุขพรรคกระยาจกพูด เป็นเหมือนตะปูตอกฝาโลงสามผู้นำรุ่นใหม่ทันที เพราะหากพึ่งพาขุมกำลังของสมาพันธ์ไม่ได้ พวกเขายังจะไปเหลือความหวังอะไรอีก
“ อามิตาพุทธ…หากประสกทั้งสามยอมปล่อยวางศักดิ์ศรีลง ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอแก้ไขสถานการณ์ได้ ลองไปครุ่นคิดกันดูดีๆเถอะ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน