ภายในพระตำหนักฉินหลง
หลังจากแก้ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จ้าวเทียนก็แยกสามผู้อาวุโสกับหลวงจีนหมิงตี้ไปอยู่ในห้องรับรองอีกแห่งหนึ่ง
ในตำหนักแห่งนี้จึงเหลือเพียงตัวเขา คังหลิน และกองกำลังชุดคลุมขาวทั้งยี่สิบคนที่เพิ่งมาใหม่เท่านั้น
“ ถอดชุดคลุมออก ให้ฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกคุณ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ชุดคลุมของคนพวกนี้ป้องกันการตรวจจับทุกอย่าง จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถมองผ่านได้
“ รับทราบ ”
ทั้งยี่สิบคนทำตามทันทีโดยไม่ลังเล เนื่องจากพวกเขามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังจ้าวเทียนอยู่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ถูกจารึกเอาไว้ในดวงวิญญาณของพวกเขาทุกคน
ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือถ้าคำสั่งของจ้าวเทียนก่อให้เกิดอันตรายกับกงเสี่ยวเหมย พวกเขาทั้งยี่สิบคนจะต้องพาตัวกงเสี่ยวเหมย หลบหนีกลับไปที่พระราชวังจักรพรรดิทันที
“ นี่มัน…เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ” คังหลินพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าของทั้งยี่สิบคนเหมือนกับหลุดออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด
“ หุ่นเชิดจิตวิญญาณระดับนี้ คงมีเพียงแต่มหาเทพจูเซียนผู้ร่ำรวยเท่านั้นแหละ ถึงจะสร้างออกมาได้ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นพร้อมกับถอดถอนใจ
‘ ในขณะที่ฉันต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อทรัพยากรฝึกตน จนต้องใช้เหมืองหินวิญญาณระดับสูงของตระกูลฉินมาหลอมรวมโลกภายใน ’
‘ แต่มหาเทพจูเซียนกลับมีมันจนเหลือเฟือ เอาง่ายๆแค่ต้นทุนที่ใช้ในการสร้างหุ่นแต่ละตัว ก็เทียบเท่ากับมูลค่าเหมืองหินวิญญาณระดับสูงทั้งเหมืองแล้ว ’
อย่าดูถูกว่าหุ่นเชิดจิตวิญญาณพวกนี้ ที่มีพลังแค่ปราณทิพย์ขั้นสูงสุด ขอเพียงเปลี่ยนแกนพลังระดับเทพโลกาให้กับพวกเขา ก็จะเปลี่ยนเป็นกองกำลังชั้นยอดที่สามารถอาระวาดบนแดนสวรรค์ได้ทันที
ถึงแม้แกนพลังระดับสูงจะหายากและมีมูลค่าสูงเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจเทียบกับพระราชวังจักรพรรดิของมหาเทพจูเซียนได้แน่นอน
“ ศิษย์พี่ คุณช่วยตรวจสอบเรื่องแกนพลังงานระดับเทพโลกาบนแดนสวรรค์ได้ไหม ย้อนกลับไปในสมัยเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ของชิ้นนี้นานๆที่จะพบเห็นในการประมูล คงพอจะมีเบาะแสอะไรเหลืออยู่บ้าง ”
จ้าวเทียนต้องการประเมินขุมกำลังของมหาเทพจูเซียนดู เพราะอย่างไรซะ พวกเขาก็แค่มีศัตรูคนเดียวกัน ไม่ได้เป็นพันธมิตรกันอย่างถาวร
สมบัติสืบทอดของเทพผู้สร้างผานกู่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น จ้าวเทียนมีลางสังหรณ์ว่า ภายในอนาคตข้างหน้า มหาเทพจูเซียนจะกลายเป็นศัตรูที่น่าหวาดกลัวที่สุดของเขา
“ ตกลง ” คังหลินหลับตาแล้วเชื่อมต่อกับร่างต้นที่อยู่ในสำนักดาราสวรรค์ทันที
ในขณะเดียวกัน จ้าวเทียนก็สอบถามถึงรายละเอียดภารกิจและจุดประสงค์ที่มหาเทพจูเซียนส่งหุ่นเชิดพวกนี้มา
“ คุณเรียกฉันว่าเซียนหลิงก็ได้ นี่เป็นชื่อที่ท่านจักรพรรดิมอบให้ พวกเราได้รับมอบหมายภารกิจในการช่วยคุณกวาดล้างตำหนักเทวะ ” เซียนหลิงพูดเป้าหมายหลักออกไปตามตรง ส่วนภารกิจปกป้องกงเสี่ยวเหมยนั้นถือเป็นความลับ
ชื่อของหุ่นเชิดจิตวิญญาณทุกตัว จะใช้คำว่าเซียนนำหน้า ตามด้วยตัวเลขลำดับที่ถูกสร้างขึ้น เช่นเซียนหลิงนั้นเป็นหุ่นเชิดตัวแรก และเป็นผู้นำของทั้งหมด
ดังนั้นเขาจึงได้รับหมายเลขศูนย์ไป ส่วนรองลงมาก็จะเป็นเซียนอี้ เซียนเอ้อ เซียนซาน ซึ่งแทนลำดับที่ หนึ่ง สอง และสาม โดยจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนถึงลำดับที่สิบเก้า เพื่อให้สะดวกในการสั่งการ
“ ตำหนักเทวะงั้นเหรอ…แค่จัดการกับพวกเขา คงไม่ต้องถึงกับส่งพวกคุณมาหรอกมั้ง เพราะแม้แต่เจ้าตำหนักเทวะเองก็ยังเคยพ่ายแพ้ให้ฉันมาแล้ว ทั้งยังต้องเสียสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์เพื่อหนีเอาชีวิตรอดอีก ”
จ้าวเทียนรู้สึกแปลกใจมาก ตามข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รู้มา ฝ่ายที่น่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นกองกำลังจากสำนักจตุเทวะมากกว่า
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซียนหลิงก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ องค์จักรพรรดิฝากคำพูดมาถึงคุณด้วยเช่นกัน ว่าอย่าดูถูกตำหนักเทวะที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากายาอมตะ ”
จากนั้นเซียนหลิงก็เล่าถึงข้อสัญธิฐานของมหาเทพจูเซียนออกไป เกี่ยวกับผู้นำรุ่นก่อนๆของตำหนักเทวะ ทำให้จ้าวเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที
“ นี่ฉันคงเจอปัญหาใหญ่แล้วสินะ ตามที่เทพกระบี่บอกมา เจ้าตำหนักเทวะที่เคยเปิดเผยโฉมหน้าสู่ยุทธภพ ในห้าร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ”
“ ก็คือคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นก่อน ส่วนอีกเก้าพันห้าร้อยปีที่เหลือ พวกเขาสืบทอดกันมากี่รุ่นแล้ว นี่คงเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้แน่นอน ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยท่าทีกังวล ยิ่งเขาได้รู้ข้อมูลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงแผนการร้ายบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน