ภายในห้องหินสีขาว ร่างของจ้าวเทียนลอยนิ่งอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งเมตร ม่านพลังของอาณาเขตที่เขาปลดปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้สรรพสิ่งรอบข้างเหมือนกำลังหยุดนิ่ง แม้กระทั่งกระแสของมิติและกาลเวลายังไม่อาจหลุดพ้นจากข้อจำกัดนี้
วูป!
มหาเทพจูเซียนปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูห้อง ด้วยสีหน้าแปลกใจ ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปด้านในได้ ทั้งที่อยู่ภายในพระราชวังของตนเอง
“ นี่คือ…ขอบเขตฟ้าดินแห่งกระบี่งั้นเหรอ ช่างเป็นอาณาเขตที่แข็งแกร่งจริงๆ แบบนี้ต่อให้เป็นผู้ที่มีแก่นแท้แห่งมิติ ก็ไม่อาจใช้การตัดมิติเข้าประชิดตัวจ้าวเทียนได้ ”
“ ข้าสัมผัสได้ว่า พื้นที่ด้านในได้แปรเปลี่ยนเป็นโลกอีกใบ แยกตัวออกเป็นเอกเทศ ตัดขาดการเชื่อมต่อจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอก ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด พยายามที่สังเกตและทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด
ต้องยอมรับว่าขอบเขตการตระหนักรู้ทั้งสามขั้น อย่างคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่ง เจตน์แห่งกระบี่ และฟ้าดินแห่งกระบี่ ได้ขาดหายจากการสืบทอดมานานมาก ตั้งแต่ที่แดนสวรรค์บรรพกาลล่มสลายไป
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีมหาเทพหลายองค์บนแดนสวรรค์ พยายามวิเคราะห์และคิดค้นวิธีการฝึกขอบเขตทั้งสามขึ้นมาใหม่
แต่เพราะด้วยข้อจำกัดบางอย่าง ทำให้ต้องล้มเหลวทุกครั้งไป ถือเป็นเรื่องแปลกมาก ที่ผู้ฝึกตนหลายคนที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์กลับสามารถทำได้สำเร็จ
“ หรือมันอาจจะเป็นเพราะ เต๋าแห่งสวรรค์ไม่ต้องการให้มีผู้ใดบรรลุขอบเขตนี้ จึงตั้งข้อจำกัดเอาไว้ เช่นเดียวกับเรื่องอายุขัยของจักรพรรดิเทพ ”
มหาเทพจูเซียน คิดว่าข้อสัญธิฐานนี้เป็นไปได้มากที่สุด ส่วนเหตุผลที่โลกมนุษย์ไม่ถูกข้อจำกัดของเต๋าสวรรค์ผูกมัดเอาไว้ ก็อาจเป็นเพราะสิ่งสืบทอดของเทพผู้สร้างผานกู่
ช่วงเวลาไม่กี่พันปีที่ผ่านมา ผนึกที่เทพมังกรสร้างขึ้นคงอ่อนแรงลงทุกที ทำให้สิ่งที่อยู่ด้านใน เริ่มปลดปล่อยฤทธานุภาพออกมาต้านทานกฎเกณฑ์ของเต๋าสวรรค์
ในขณะที่มหาเทพจูเซียนกำลังคาดเดาถึงสิ่งต่างๆมากมาย จ้าวเทียนที่ลอยอยู่ตรงกลางห้องก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น
วูป!
เจตจำนงของเขาเหมือนผสานเข้ากับฟ้าดิน และได้กวาดออกไปรอบด้าน ปกคลุมพระราชวังจักรพรรดิทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น เจตจำนงของจ้าวเทียนยังคงแผ่ขยายไปเรื่อยๆเป็นสิบกิโลเมตร ร้อยกิโลเมตร พันกิโลเมตร หมื่นกิโลเมตร แสนกิโลเมตร
จนกระทั่ง ถึงขีดจำกัดตรงสุดเขตแดนของช่องว่างมิติแห่งนี้ จึงได้หยุดลงและกลับเข้าสู่ร่างกายดังเดิม
“ หืม…ครั้งนี้ไม่มีทัณฑ์สวรรค์งั้นเหรอ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ ด้วยขอบเขตที่เขาเพิ่งจะบรรลุไป มันควรจะต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบอันน่าสะพรึงกลัวที่สุด ถึงจะถูกต้อง
มหาเทพจูเซียนที่ได้ยินแบบนั้น ก็ถอนใจออกมาเบาๆแล้วพูดขึ้น
“ เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า ถ้าทัณฑ์สวรรค์กล้ำกรายมายังพระราชวังของข้าได้ เต๋าแห่งสวรรค์ก็คงกวาดล้างที่นี่ไปนานแล้ว ”
คำพูดของมหาเทพจูเซียนทำให้จ้าวเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา ตัวเขาคงจะดีใจมากเกินไปหน่อยเลยลืมนึกถึงข้อนี้ไป
“ ตอนนี้เวลาผ่านไปกี่วันแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันได้เก็บตัวฝึกฝน ” จ้าวเทียนถามเปลี่ยนเรื่องขึ้น ก่อนหน้านี้เขาตกอยู่ภวังค์แห่งการรู้แจ้ง ทำให้หลงลืมซึ่งกาลเวลา
“ เจ้าอยู่ที่นี่มายี่สิบวันแล้ว พรุ่งนี้ก็จะครบกำหนดเวลาที่เจ้าได้ตั้งเอาไว้ ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม โชคดีมากที่จ้าวเทียนทำสำเร็จก่อนจะถึงเส้นตายพอดี
ไม่อย่างนั้น มหาเทพจูเซียนก็ต้องเข้ามาขัดจังหวะการรู้แจ้งของจ้าวเทียน เพื่อไม่ให้การเตรียมการทุกอย่างต้องสูญเปล่า
“ ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วสินะ ช่วงเวลาที่ฉันฝึกฝนอยู่ พวกศัตรูทั้งหมดได้เปิดเผยตัวตนออกมาหรือยัง ” จ้าวเทียนถามถึงจำนวนของเจ้าตำหนักเทวะรุ่นก่อนๆ
“ ที่ปรากฏตัวออกมาแล้วก็มีหกคน แต่จากข้อมูลที่หุ่นเชิดจิตวิญญาณได้มาจากการลอบเข้าไปสอดแนม อาจจะมีมากกว่านั้นอีกสองถึงสามคน เพียงแต่กำลังเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นี่มันเกินไปกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก
ที่สำคัญที่สุด พวกที่ยังซ่อนตัวอยู่ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนที่เหลือหลายเท่า เพียงลงมือครั้งเดียวก็สร้างความเสียหายให้กับหุ่นเชิดจิตวิญญาณได้เลย
นั่นหมายความว่า ความแข็งแกร่งของคนพวกนั้น อยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตแดนเทพแล้ว
“ รวมเจ้าตำหนักเทวะรุ่นปัจจุบันด้วย ก็ประมาณสิบคนสินะ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายผิดไปจากที่มหาเทพจูเซียนคิดไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน