ภายในบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบในสมัยราชวงศ์ถัง ชายคนหนึ่งกำลังนั่งมองธงชาติสีแดงที่มีดาวห้าดวงปักอยู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เป็นเวลาเกือบสามวันแล้ว ที่ต้วนมู่เฉียนไม่ได้ขยับออกไปจากตรงนี้แม้เพียงสักก้าวเดียว จนทำให้ทุกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา อดที่จะเข้ามาถามไถ่ด้วยรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
“ ผู้อาวุโสจะไม่พักผ่อนสักหน่อยเหรอ ร่างกายคุณจะไม่ไหวเอานะ ” หวังฝูหมิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ถึงแม้ต้วนมู่เฉียนจะส่งมอบอำนาจทั้งหมดให้จ้าวเทียนไปแล้ว แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงให้ความเคารพอีกฝ่ายเหมือนเดิม
ต้วนมู่เฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ นาย…หาตัวเสี่ยวชิงพบไหม ”
“ เอ่อ คือเรื่องนี้ ” หวังฝูหมิงมีท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามตามหาทุกช่องทางแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเสี่ยวชิงเธอหายไปไหน
“ งั้นเหรอ ไม่เจอสินะ ” ต้วนมู่เฉียนส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง เขารอพบเธอมาสามวันสามคืนแล้ว บ้านไม้หลังนี้ เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อน
ซึ่งต้วนมู่เฉียนได้ส่งคนมาดูแลรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี ของใช้ทุกอย่าง ทั้งโต๊ะเก้าอี้ ตู้ เตียง ยังคงวางอยู่ตรงที่เดิม ไม่เคยถูกสลับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายมาก่อน เขาต้องการเก็บภาพความทรงจำที่งดงามเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด
‘ น่าเสียดาย…สตรีเพียงผู้เดียวที่ฉันรักกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ’
ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา ต้วนมู่เฉียนเคยถามกับตัวเองหลายครั้ง ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขายังจะเลือกเสียสละความรักเพื่อส่วนรวมเหมือนเดิมหรือเปล่า
แต่คำตอบ มันก็ช่างตอกย้ำบาดแผลในใจทุกครั้งไป เมื่อได้เห็นธงสีแดงผืนนี้ และคิดถึงเหล่าผู้กล้ามากมายที่ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องประเทศ
ภายในใจของเขาก็รู้ดี ว่าต่อให้ต้องเลือกใหม่อีกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังคงทำเช่นเดิม เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อทำให้ประเทศไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหง ต่อให้ต้องเสียสละอะไรไป ก็ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น
“ พรุ่งนี้แล้วสินะ…คงถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว ” ต้วนมู่เฉียนพูดกับตัวเองเบาๆ
เขาลุกเดินไปที่โต๊ะไม้เก่าๆ ที่เคยใช้งานในอดีต ก่อนจะหยิบกระดาษสีเหลืองซีดแผ่นหนึ่ง ออกมาวางไว้บนตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่
นี่คือจดหมายที่เสี่ยวชิงทิ้งเอาไว้ ก่อนที่เธอจะจากไป ต้วนมู่เฉียนเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดีและพกติดตัวตลอดเวลา มีแต่การทำแบบนี้ ถึงทำให้เขารู้สึกได้ว่าเธอยังอยู่ใกล้ๆเสมอ
“ อายุขัยของเสี่ยวชิงยืนยาวกว่าพวกเรามาก ถ้าพรุ่งนี้ฉันล้มเหลวและดับสูญไป นายจะต้องเผาบ้านหลังนี้พร้อมทั้งสิ่งของทุกอย่างทิ้งไปซะ ”
“ ฉันไม่อยากให้เธอต้องทนใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความเจ็บปวด ปล่อยให้กาลเวลาทำให้เธอลืมฉันไปคงจะดีที่สุด ”
“ ไม่แน่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิบปี ร้อยปี หรือพันปี …เธออาจจะพบคนที่รักเธอด้วยใจจริง และไม่ทำให้เธอเจ็บปวดแบบฉันก็ได้ ” ต้วนมู่เฉียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งเป็นด้านที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อนตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมา
“ ตกลง…ฉันจะทำตามที่คุณบอก ” หวังฝูหมิงรับคำอย่างจริงจัง เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำเพื่ออีกฝ่ายได้
“ ดี…งั้นพวกเราก็กลับไปกันเถอะ ” ต้วนมู่เฉียนเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
แต่ก่อนที่จะออกจากห้องนี้ไป เขาก็เหลียวมองไปยังข้อความหนึ่งประโยคบนกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
‘ ฉัน…ไม่เคยเสียใจที่ได้รักคุณ ’
“ ถ้าหากพรุ่งนี้ ฉันรอดกลับมาได้ ขอสาบานด้วยจิตวิญญาณว่าจะต้องตามหาเธอให้เจอ และจะไม่มีวันปล่อยให้เธอต้องจากไปไหนอีกแล้ว พวกเราจะครองคู่อยู่ร่วมกันตราบจนสิ้นอายุขัย ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าอันเด็ดเดี่ยว เพื่อปลุกเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของตนขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้เขามีผู้สืบทอดแล้ว จึงไม่ต้องฝืนทนอดกลั้นหัวใจของตนเองอีก หากฟ้าดินส่งเสริมให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะขอใช้ช่วงเวลาต่อจากนี้เพื่อคนรักบ้าง
แอ้ดด!
เสียงประตูไม้ปิดลง ก่อนที่จะมีชายชราคนหนึ่งนำแผ่นค่ายกลมาติดไว้ ทำให้บ้านทั้งหลังพร่าเลือนหายไปในอากาศ
นี่คือค่ายกลปกปิดระดับสูง ที่ช่วยปกป้องสถานที่แห่งความทรงจำของต้วนมู่เฉียนมาตลอดสามร้อยปี ซึ่งผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปก็มีเพียงเขากับเสี่ยวชิงเท่านั้น
“ สหาย ฉันขออวยพรให้นายประสบความสำเสร็จ ” ชายชราคนนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเป็นยอดฝีมือจากพรรคมารที่หนีการตามล่าจากสมาพันพันธ์บู้ลิ้ม มาเมื่อสองร้อยปีก่อน
ต้วนมู่เฉียนสัมผัสได้ว่าชายชราคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย จึงได้มอบสถานที่เร้นกาย ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบและคบหาเป็นสหายกัน
“ ขอบคุณมาก ไว้ตอนฉันกลับมา พวกเราค่อยมาดื่มกันสักสามวันสามคืนเป็นยังไง ” ต้วนมู่เฉียนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ ได้…ถึงแม้ฉันจะไม่ได้แตะต้องสุรามาสองร้อยปีแล้ว แต่ถ้านายต้องการ ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนนายจนสมใจเอง ”
“ พูดได้ดี…ตั้งแต่รู้จักกันมา เพิ่งมีวันนี้แหละที่นายกล่าววาจาได้สมกับเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ” ต้วนมู่เฉียนหยอกล้ออีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ เฒ่ามู่ ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่กลับมา นายก็ออกไปใช้ชีวิตตามที่นายต้องการเถอะ ไม่จำเป็นต้องปกป้องสถานที่แห่งนี้อีก ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน