ภายในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ได้มีการจัดเตรียมเวทีและทีมงานผู้สื่อข่าวเอาไว้เสร็จสรรพ เหลือเพียงแค่ให้จ้าวเทียนออกคำสั่งลงมาเท่านั้น การถ่ายทอดสดก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที
แต่ทว่า…ตอนนี้ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างจ้าวเทียนกลับไม่อยู่ซะอย่างนั้น
“ ซินหยาง มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ นี่ก็เลยเวลาที่ตกลงกันไว้มาสิบนาทีแล้วนะ ” หวังฝูหมิงถามขึ้นด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“ เอ่อ…ท่านบรรพชน เรื่องนี้ ” หวังซินหยางเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เขารู้เพียงอย่างเดียวคือถ้าไม่มีคำสั่งจากจ้าวเทียนห้ามลงมือทำอะไรเด็ดขาด
“ แล้วนี่ผู้บัญชาการจ้าวไปไหนเสียแล้วล่ะ ” เจียงฮุ่ยถามขึ้น พร้อมกับพานายพลเอกอีกสองคนเดินเข้ามาหา
ตั้งแต่ฉางกวนผิงถูกสังหารไป ตัวเขาก็ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งยังควบตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองเอาไว้ด้วย ทำให้กลายเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งของฝ่ายกองทัพ
“ เรียนพลเอกเจียง ตอนนี้ผู้บัญชาการจ้าวกำลังสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า อยู่ด้านนอกครับผม ” หวังซินหยางรีบทำความเคารพ แล้วตอบกลับไปแบบเป็นทางการ
แม้มันจะดูเก้ๆกังๆอยู่บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐบาลเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลภายนอกจึงต้องแสดงกิริยามารยาทให้เหมาะสม
“ เข้าใจแล้ว…ฉันเชื่อว่าผู้บัญชาการจ้าวคงจะมีเหตุผลอันสมควรที่ให้หยุดการถ่ายทอดสดไว้ก่อน และเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น พวกเราก็รออีกซักหน่อยเถอะ ” เจียงฮุ่ยพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
ด้วยประสบการณ์ด้านข่าวกรองที่สั่งสมมาสิบกว่าปี ทำให้เขาเป็นคนช่างสังเกตและรอบคอบมากกว่าคนอื่น
จึงพอจะคาดเดาได้ว่า ภาพหญิงสาวที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จะต้องมีความเกี่ยวพันกับจ้าวเทียนอย่างแน่นอน และเธอจะต้องอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการทุกอย่างของจ้าวเทียน
ดังนั้น…ตราบใดที่เธอยังทำบางอย่างไม่เสร็จสิ้น เวลาในการถ่ายทอดสดของพวกเขาก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน
ซึ่งในความเป็นจริง ทุกอย่างที่เจียงฮุ่ยคิดล้วนถูกต้องทั้งหมด
จ้าวเทียนตอนนี้ กำลังยืนเหยียบอากาศอยู่บนความสูงหลายพันเมตร ที่ข้างกายเขายังมีลี่เหยาเหยา กงเสี่ยวเหมยและคนอื่นๆอยู่ด้วย ทั้งหมดกำลังจ้องมองขึ้นไปฟ้าอย่างเป็นกังวล
‘ ด้วยความสามารถที่แท้จริงของท่านอาจารย์ มันไม่ควรจะใช้เวลานานแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ’
ทันใดนั้นเอง
ภาพของหลินซินเยว่ที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ได้มีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่สงบนิ่งเหมือนตอนแรก คิ้วของเธอขมวดเป็นปม ใบหน้าซีดขาวลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งร่างกายยังเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ เหมือนกำลังทนรับความเจ็บปวดแสนสาหัส
“ นี่มัน…ท่านอาจารย์กำลังจะพ่ายแพ้ต่อจิตมารตนเอง ”
ในเวลาเดียวกัน
ภายในเขตหวงห้ามของสำนักดาราสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ทะลวงขอบเขตจักรพรรดิเทพของหลินซินเยว่ เวลานี้มันกำลังถูกปกคลุมโดยเขตอาคมปิดกั้นสิบชั้น เพื่อป้องกันตัดขาดสิ่งรบกวนจากภายนอกอย่างเด็ดขาด
นี่เป็นฝีมือของคังหลินเอง ตั้งแต่ที่เขาเห็นค่ายกลย่อยยี่สิบแปดดาราถูกทำลายไป ก็รู้ตัวว่าไม่มีสิ่งที่ตนทำได้อีก จึงรีบเข้ามาช่วยเหลืออาจารย์แทน
“ แย่แล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ” คังหลินพูดออกมาด้วยความตื่นตระหนก เขาดูออกว่าอาจารย์กำลังถูกจิตมารกลืนกินทีละน้อย
ซึ่งหากปล่อยไปมันเกิดขึ้นต่อไป หลินซินเยว่จะต้องประสบชะตากรรมดวงวิญญาณแตกสลายดับสูญไปแน่นอน
‘ ถึงแม้ขั้นตอนของการหลอมรวมมรรคาจักรพรรดิ จะยากลำบากมากและต้องเผชิญหน้ากับจิตรมารตนเอง แต่ด้วยจิตใจอันแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ ต่อให้ถูกพวกศัตรูรบกวน มันก็ควรจะผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดายไม่ใช่เหรอ ’
‘ นี่พวกเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า… ’
การที่คังหลินจะสับสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งต่อให้เป็นจ้าวเทียนหรือศิษย์คนอื่นๆมาอยู่ตรงนี้ ก็คงเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน
นั่นก็เพราะ สำหรับพวกเขาที่ถูกเลี้ยงดูสั่งสอนวิชา โดยหลินซินเยว่มาตั้งแต่วัยเยาว์ ย่อมรู้สึกเคารพเทิดทูนอีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจ จนเกิดความเชื่อมั่นแบบผิดๆ ว่าสิ่งใดที่พวกตนทำได้ อาจารย์ย่อมทำได้ดีกว่า
แม้กระทั่งจ้าวเทียนเองก็ยังคิดว่า หากอาจารย์ได้รับโชควาสนาแบบตัวเอง ก็ต้องสามารถบรรลุจักรพรรดิเทพโดยง่ายอย่างแน่นอน
ซึ่งความคิดของพวกเขาก็ไม่ถือว่าผิด…เพราะถ้าไม่เกิดเหตุการณ์หลายอย่างแทรกซ้อนขึ้นก่อนหน้านี้ บางทีหลินซินเยว่อาจจะทำสำเร็จไปแล้วก็ได้
บางทีทุกคนคงลืมไปแล้วว่า ถึงแม้หลินซินเยว่จะเป็นยอดอัจฉริยะอันโดดเด่นในยุคสมัยนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ตัดขาดกิเลสทั้งมวล ยังคงมีอารมณ์ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลงเหมือนคนปกติ
การที่อยู่ดีๆ ก็ได้รู้ความจริงว่า ตัวเองเป็นเพียงชีวิตปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้ร่างต้นดูดกลืน มันสร้างความปวดร้าวในใจถึงเพียงไหน
อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่สุดแสนจะแข็งแกร่ง พร้อมกับหาวิธีปกป้องเหล่าลูกศิษย์ที่รักเสมือนลูกแท้ๆไปด้วย ความกดดันที่เธอต้องแบกรับ หาใช่สิ่งที่คนอื่นจะสามารถเข้าใจได้
นี่ยังไม่รวมไปถึง เวลาเตรียมตัวอันแสนสั้นในการบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพ มันทำให้เธอไม่อาจปรับสภาพจิตใจตนเองได้อย่างสมบูรณ์
สุดท้าย เมื่อเจอการรบกวนจากภายนอก ที่ข่มขู่จะสังหารทุกคนในสำนัก ถ้าเธอไม่ยอมจำนน มันก็ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของหลินซินเยว่ขาดออก และสมาธิแตกซ่านอย่างรวดเร็ว
เพราะสำหรับเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ที่สำนักตั้งแต่ยังเยาว์ สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นบ้านที่แท้จริงของเธอ และทุกคนที่อาศัยอยู่ก็เปรียบเสมือนครอบครัวคนสำคัญ
โดยเฉพาะศิษย์หลักทั้งสี่คน ที่เธอรักเหมือนลูกแท้ๆ ซึ่งจะไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเด็ดขาด ต่อให้ต้องเสียสละชีวิตตนเองก็ตามที
‘ ขอโทษด้วยทุกคน…ฉันใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ’
หลินซินเยว่คิดขึ้นด้วยใจที่ใกล้จะแตกสลาย ถึงแม้เวลาด้านนอกจะผ่านไปไม่นาน แต่ในโลกจิตวิญญาณของเธอ มันได้ฉายซ้ำภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เธอต้องเผชิญ นับร้อยรอบพันรอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน