ผ่านไปเกือบยี่สิบลมหายใจ การต่อสู้อันดุเดือดของจ้าวเทียนกับเทพแอรีสทำให้เหล่าเทพสวรรค์ที่จับจ้องอยู่ต่างทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง
“ เจ้าเด็กนี่ใช่มนุษย์บนโลกจริงๆรึ ข้านึกว่าเป็นร่างอวตารของมหาเทพอวี่หวงเสียอีก ”
“ ข้าเองก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะต่อให้เป็นห้าแม่ทัพใหญ่แห่งวังสวรรค์เองก็ไม่อาจรับมือกับเทพสงครามได้ถึงเพียงนี้ ”
“ พวกเจ้าลองสังเกตดูสิ การโจมตีของเขาล้วนซ้ำตรงตำแหน่งเดิมไม่คลาดเคลื่อน ทุกคมกระบี่พุ่งเป้าไปที่จุดตายทั้งเจ็ดอย่างแม่นยำ ”
“ หรือว่า มนุษย์คนนี้จะตระหนักรู้ขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่ ทุกกระบวนท่าคล้อยตามสำนึกแล้ว ข้าได้ยินว่ามันยากลำบากยิ่งกว่าการรู้แจ้งแก่นแท้แห่งกระบี่อีกไม่ใช่หรือ เขาทำได้อย่างไรกัน ”
ทุกกระบวนท่าของจ้าวเทียนเหมือนผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดี ทำให้หมัดอันเกรี้ยวกราดของเทพแอรีสไม่อาจสัมผัสผิวกายเขาได้เลยแม้แต่น้อย
แม้จะมีหลายครั้งที่เทพแอรีส แกล้งจงใจเปิดเผยช่องโหว่ออกมาเพื่อหวังจบศึกโดยเร็ว จ้าวเทียนก็สามารถมองขาดทุกครั้ง และยังตอบโต้กลับไปอย่างดุดันอีกด้วย
ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การต่อสู้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามมากมายเท่านั้น
“ นาจา เจ้าแน่ใจนะว่ามนุษย์คนนี้เพิ่งจะมีอายุได้ยี่สิบปีจริงๆ ข้อมูลของพวกเจ้าผิดพลาดหรือเปล่า ”
เทพีอาเธน่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ต่อให้อีกฝ่ายเริ่มฝึกฝนมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา มันก็ไม่ควรจะเหนือล้ำจนผิดธรรมชาติขนาดนี้
เธอเข้าใจว่าการที่จะบ่มเพาะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สำนักดาราสวรรค์คงต้องทุ่มเททรัพยากรล้ำค่าออกไปมากมายมหาศาล แต่เรื่องประสบการณ์การต่อสู้นั้นแตกต่างกัน ของแบบนี้ต้องใช้เวลาเรียนรู้ด้วยตนเองไม่อาจใช้เส้นทางลัดได้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เทพีแห่งปัญญารู้สึกสับสน เมื่อเห็นจ้าวเทียนสามารถเผชิญหน้ากับเทพสงคราม ที่ผ่านการต่อสู้มานับพันนับหมื่นสมรภูมิได้อย่างสูสีดุเดือด
“ เรื่องนี้…จากความทรงจำของมนุษย์ที่พวกเราจับมาได้ จ้าวเทียนถือกำเนิดจากบิดาที่เป็นคนธรรมดาและมารดาที่เป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำเมื่อยี่สิบปีก่อน ”
“ ซึ่งเดิมทีจ้าวเทียนก็เป็นเพียงคนธรรมดาเช่นกัน จนเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้วได้ถูกหลินซินเยว่รับไว้เป็นศิษย์ชักนำเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน ” นาจาเองก็เริ่มไม่มั่นใจเช่นกัน ว่าตนเองทำพลาด ไปค้นเจอความทรงจำปลอมที่ถูกสร้างขึ้นหรือเปล่า
“ หืม นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่งั้นรึ ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ในระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งปี มนุษย์ปุถุชนจะฝึกฝนจนมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ ทั้งยังบรรลุแก่นแท้สมบูรณ์ถึงสี่ประเภทได้อย่างไร ”
เทพีอาเธน่าเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก ต่อให้อยากแต่งเรื่องเท็จเพื่อปิดบังความจริงแค่ไหน มันก็ควรรู้จักความพอดีบ้าง
“ ข้า…. ” นาจารู้สึกพูดไม่ออก เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาเองก็คงไม่เชื่อเช่นเดียวกัน ทั้งยังจะกล่าววาจาเยาะเย้ยถากถางยิ่งกว่านี้อีกด้วย
ทางด้านเทพโอซีริสกับเทพีอามาเทราสุ ซึ่งได้ยินบทสนทนาทุกอย่างของฝ่ายตรงข้าม ก็ได้แต่หันมาสบตากันครู่หนึ่ง แล้วพากันถอนหายใจเบาๆ
ความแข็งแกร่งที่จ้าวเทียนแสดงออกมาตอนนี้ มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสในโลกแห่งจิตวิญญาณ
‘ ไว้ให้พวกเจ้าทุกคน ได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นค่อยตกใจจนสิ้นสติก็ยังไม่สาย ’
ในเวลาเดียวกัน
ฉัวะ!ๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงคมกระบี่แทงปราดออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่อาจทะลวงผิวหนังคงกระพันของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่กับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั้นต่างกัน
ฉัวะ! แคว่ก!
เสียงเศษเกราะชิ้นสุดท้ายกระเด็นหายไป ตอนนี้ใบหน้าของเทพแอรีสแดงก่ำด้วยความอับอายและเดือดดาล
สภาพของเขาไม่ต่างจากมนุษย์ถ้ำยุคดึกดําบรรพ์ ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงเกราะส่วนร่างปดปิดของสงวนเท่านั้น
‘ บัดซบ! เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับข้าได้อย่างไรกัน ’
ที่เทพแอรีสเจตนาไม่ใช้อาวุธ นอกจากเพราะนึกดูถูกจ้าวเทียนแล้ว ก็เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงจากความผิดพลาดในตอนแรก และยังเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของตนเองให้เหล่าเทพจากขุมกำลังอื่นได้เห็น
ไม่นึกเลยว่า มันจะกลับกลายเป็นการทุ่มหินลงเท้าตัวเอง ทำให้ต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคนแทน
จากเดิมที่จะสังหารจ้าวเทียนเพื่ออวดโอ่ความสามารถ สุดท้ายเทพสงครามแอรีสผู้โด่งดัง กลับกลายเป็นขั้นบันใดให้อีกฝ่ายเหยียบย่ำ สำหรับเทพผู้เย่อหยิ่งถือดีเช่นเขา จะให้รับไหวได้อย่างไร
“ พอที ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป ! ”
วูป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน