โฮ่วอี้วาดดาบออกไปเบื้องหน้า นัยน์ตาอันแหลมคมของเขากวาดมองผ่านสนามรบ ดุจดั่งจักรพรรดิหยามเหยียดทั่วล้า อานุภาพแผ่ไพศาลปกคลุมทั่วทุกดินแดน
“ ข้าคือราชันดาบมารทมิฬ ได้รับบัญชาจากเทพอสูรป๋อฮั่นหนึ่งในสามราชันมารบรรพกาล ให้มาเป็นสักขีพยานในศึกสงครามตัดสินชะตากรรมครั้งสุดท้าย ”
นามของคนก็เหมือนเงาของไม้ เสี้ยววินาทีที่ชื่อเทพอสูรป๋อฮั่นถูกเอ่ยออกมา ทั้งสนนามรบก็ตกอยู่ในความเงียบ เผ่ามารทุกตนถูกกลิ่นอายสังหารและบรรยากาศอันหนักอึ้งกดทับจนไม่กล้าระบายลมหายใจออกมา
“ เทพอสูรป๋อฮั่น หนึ่งในสามบรรพชนมารผู้ยิ่งใหญ่งั้นเหรอ ”
“ สักขีพยาน? ทำไมข้าถึงไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้มาก่อน ”
“ สามบรรพชนมาร คิดจะแทรกแซงศึกแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดรึ ”
เสียงสนทนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวตนของสามบรรพชนมารนั้นยิ่งใหญ่จนเกินไป ถึงขนาดที่จักรพรรดิมารองค์ปัจจุบันยามพบหน้าอีกฝ่าย ก็ยังต้องให้ความเคารพอยู่สามส่วน พร้อมทั้งเรียกว่าผู้อาวุโส
แม้แต่ราชันวานรมารแปดกรที่ปลุกสายเลือดบรรพบุรุษ จนมีพลังเทียบเท่าครึ่งก้าวจักรพรรดิมาร ก็ยังไม่กล้าเสียมารยาท รีบถอยกลับไปยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าขุมกำลังของตนเอง
แตกต่างกับราชันมารทมิฬตรีเนตรที่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ที่ตนเองรอดพ้นจากชะตากรรมถูกสังหารไปได้อย่างฉิวเฉียด
สำหรับเผ่าพันธุ์มารที่ชื่นชอบการเข่นฆ่านั้น ได้ให้การเคารพบูชาพลังความแข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้โฮ่วอี้ไม่หยิบยกนามของเทพอสูรป๋อฮั่นออกมา แค่รังสีดาบของเขาเพียงอย่างเดียวก็พอจะข่มขวัญมารทุกตนแล้ว
ส่วนเรื่องที่โฮ่วอี้ทำลายม่านพลังบุกรุกเข้ามาอย่างอุกอาจ ทั้งยังสังหารทหารมารไปร่วมหมื่น แทบจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจแม้แต่น้อย
“ ไม่ทราบว่า ท่านพอจะแสดงหลักฐานให้พวกเราเห็นได้หรือไม่ ” หนึ่งในแม่ทัพคนสนิทของราชันวานรมารแปดกรพูดขึ้นเสียงดัง ไม่ใช่เพราะมันมีความกล้ามากกว่าผู้อื่น แต่ถูกบีบบังคับจากเจ้านายต่างหาก
“ บังอาจ เจ้ากล้าสงสัยในตัวข้างั้นรึ ”
สิ้นเสียง นัยน์ตาของโฮ่วอี้ก็ปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา มันแปรเปลี่ยนเป็นหนามแหลมพุ่งทะลวงศีรษะของแม่ทัพมารตนนั้น บดขยี้ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไปในพริบตาเดียว
นี่คือการสะกดข่มด้วยพลังอันท่วมท้นอย่างแท้จริง ทำให้แม่ทัพมารซึ่งมีพลังขอบเขตมารโลกาขั้นเจ็ดไม่มีโอกาสจะต่อต้านแม้แต่น้อย
“ อะไรกัน แค่พริบตาเดียว ”
“ นั่นมัน ระดับแม่ทัพมารเลยนะ ”
“ ยังมีผู้ใด สงสัยในตัวตนของข้าอีกไหม ” โฮ่วอี้ถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งยังเจตนาจ้องมองไปยังราชันวานรมารแปดกรอย่างท้าทาย
เหตุผลที่เขาต้องลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ ก็เพื่อต้องการควบคุมสถานการณ์เอาไว้โดยเร็วที่สุด เนื่องจากตนเองไม่ได้มีหลักฐานแสดงตัวตนอะไรทั้งสิ้น
อันที่จริงหากโฮ่วอี้ยอมเอ่ยปาก เทพอสูรป๋อฮั่นก็กล้ามอบให้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้กับสหาย
ที่สำคัญที่สุด ทั้งต้วนมู่เฉียนและเสี่ยวชิงเองก็อยู่ในโลกมารแห่งนี้ด้วย เขาย่อมไม่อาจชักนำหายนะไปให้ผู้สืบทอดของตนอยู่แล้ว จึงขอหยิบยกแต่ชื่อเทพอสูรป๋อฮั่นมาใช้ก็เพียงพอ
หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่เทพอสูรป๋อฮั่นบอกออกไปว่ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเก็บตัวฝึกวิชา ยืนยันไม่มีส่วนรู้เห็นต่อเรื่องราวทั้งหมด ก็จะรอดพ้นจากทุกข้อกล่าวหาไปเอง
“ พวกเราย่อมไม่กล้าสงสัยในตัวท่านอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ลูกน้องข้าได้ล่วงเกิน ต้องขออภัยด้วย ” ราชันวานรมารแปดกรได้กัดฟันพูดขึ้น พร้อมยอมก้มหัวขอโทษสำนึกผิด ทั้งที่ภายในใจของเขารู้สึกโกรธแค้นจนพร้อมที่จะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆก็ตาม
‘ แม้จะมองไม่เห็นระดับพลังที่แท้จริงของมัน แต่สัมผัสได้เลยว่าจะต้องเหนือกว่าข้าแน่นอน ราชันมารที่แข็งแกร่งขนาดนี้มันโผล่มาจากไหนกันแน่ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน ’
แท้จริงแล้วร่างแยกนี้ของโฮ่วอี้มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพโลกาขั้นสามเท่านั้น แต่ด้วยเก้าแก่นแท้ที่บรรลุในระดับสูง พร้อมทั้งมรรคาจักรพรรดิและพลังโกลาหลแห่งจักรวาล ทำให้ตัวเขาสามารถเอาชนะเทพโลกาขั้นเก้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ถ้าต้องต่อกรกับราชันมารทั้งสอง ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเทพโลกาขั้นเก้าระดับสูงสุดพร้อมกัน โอกาสชนะคงเหลือเพียงครึ่งเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่โฮ่วอี้ต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมเพื่อข่มขวัญศัตรูตั้งแต่แรก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน