ในจักรวาลแห่งนี้ได้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์นับแสนนับล้าน แต่มีเพียงเผ่าพันธุ์ระดับสูงไม่กี่สิบเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่สามารถก่อตั้งวิหารต้นกำเนิดได้สำเร็จ
ซึ่งทางเดียวที่จะสร้างวิหารต้นกำเนิดได้ ในเผ่าพันธุ์นั้นๆจะต้องปรากฏจอมราชันผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถหลอมรวมโชคชะตาของทุกคนเป็นหนึ่งเดียว และผ่านการทดสอบจากกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน
แน่นอนว่า ภายในช่วงเวลาหลายพันล้านปีที่ผ่านมา ย่อมมีผู้หาญกล้าท้าทายข้อจำกัดนี้มากมาย แต่ผลสุดท้ายกลับต้องล้มเหลวจนต้องสูญสิ้นไปเกือบทั้งหมด
‘ ถ้าฉันจำไม่ผิด เก้าท้องฟ้าสิบแผ่นดินรวมไปถึงแดนสวรรค์เองก็มีวิหารต้นกำเนิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับจักรวาลอื่นเหมือนหลุมอเวจีสิบแปดชั้น ’
จากข้อมูลที่โฮว่อี้บอกมา จ้าวเทียนก็รู้เลยว่าหลุมอเวจีสิบแปดชั้นจะต้องมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ก่อนที่โลกทิพย์แห่งมารจะถูกสร้างขึ้นในภายหลัง มันคือเศษซากอารยธรรมจากสมัยที่ราชันเทพมารอเวจีครองความเป็นใหญ่
“ หรืออาจารย์ปู่จะหมายความว่า วิหารต้นกำเนิดมารนี้ได้รับการปกป้องเช่นเดียวกับวิหารต้นกำเนิดเทพบนแดนสวรรค์งั้นเหรอ ”
“ ใช่แล้ว มันเหมือนกับการที่เต๋าแห่งสวรรค์ให้การปกป้องวิหารบูชาเทพ ผู้ปกครองเทพมารต่างเอกภพก็ให้การปกป้องวิหารต้นกำเนิดเช่นกัน ขอเพียงมีเผ่าพันธุ์อื่นล้วงล้ำเข้าไปแม้แต่นิดเดียว ก็จะถือเป็นการประกาศสงครามในทันที ” โฮ่วอี้ตอบกลับไปด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“ ประกาศสงคราม? ” จ้าวเทียนก้มหน้ามองเหรียญสีทองในมืออีกครั้ง ใจหนึ่งเขาก็อยากได้คลังสมบัติลับเพื่อช่วยเหลือท่านอาจารย์ แต่อีกใจก็รู้สึกหวั่นเกรงหายนะครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นตามมา
“ จงรีบตัดสินใจเถอะ เพราะอีกไม่นานสงครามครั้งสุดท้ายก็คงจะยุติแล้วและเมื่อใดที่ผู้ชนะได้เข้าไปทำการเซ่นสังเวยเครื่องบูชาในวิหารต้นกำเนิดมาร หลุมอเวจีแห่งนี้ก็จะถูกปิดผนึกเป็นเขตหวงห้ามทันที ”
“ พอถึงตอนนั้น หากคิดจะหลบหนีก็คงสายเกินไปแล้ว ” โฮ่วอี้ไม่คิดบีบบังคับจ้าวเทียนจนเกินไป เนื่องจากตนเองเป็นเพียงร่างแยก ต่อให้ตายไปก็ส่งผลกระทบไม่มากนัก แตกต่างกับจ้าวเทียนถ้าตายแล้วก็ตายเลย ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีก
‘ นี่ฉันจะต้องถอยกลับไปทั้งแบบนี้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำไปมันไร้ประโยชน์อย่างงั้นเหรอ ’
ในใจจ้าวเทียนรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เพราะรู้ดีว่าคลังสมบัติลับเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะรักษาชีวิตของท่านอาจารย์ได้ มันคือสิ่งที่จักรพรรดิเทพหมื่นตะวันแต่ละรุ่นสั่งสมความมั่งคั่งมาตลอดระยะเวลาหลายพันล้านปี
ไม่ต้องพูดถึงอาวุธระดับพระเจ้าขั้นสูงสุด หรือสมบัติลับในตำนาน แค่เพียงเม็ดโอสถโบราณสุดแสนล้ำค่ากับผลึกวิญญาณโกลาหลนับไม่ถ้วน ก็พอจะส่งเสริมให้ท่านอาจารย์กลายเป็นยอดจักรพรรดิแห่งยุคแล้ว
‘ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ ท่านอาจารย์ก็เป็นผู้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉันมาโดยตลอด และในช่วงเวลาสำคัญท่านก็ยอมแม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตนเองโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ’
จ้าวเทียนยังจำได้ดี เมื่อครั้งที่โฮ่วอี้หยิบยื่นโอกาสในการบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพให้ อย่างแรกที่อาจารย์ของเขาทำก็คือส่งมอบต่อมาให้เขา ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่หัวใจของเธอโหยหามาตลอด แต่เพื่อศิษย์อันเป็นที่รักแล้วเธอก็พร้อมสละได้
‘ ไม่จำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป หากย้อนเวลากลับมาแล้วก็ยังปกป้องท่านอาจารย์เอาไว้ไม่ได้ ตัวฉันยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ’
เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวเทียนก็เริ่มวางแผนการทันที ในเมื่อไม่อาจบุกรุกเข้าไปด้วยวิธีปกติ เขาก็จะใช้พิธีกรรมของศัตรูให้เป็นประโยชน์
“ อาจารย์ปู่ ท่านมีซากศพของมารโลการะดับสูงหรือไม่ ”
โฮ่วอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้สร้างความผิดหวังให้กับตน
‘ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของข้าได้พบผู้คนหลายประเภท ทั้งพวกผู้ดีจอมปลอมที่แอบทำเรื่องชั่วร้าย ทั้งพวกที่เมื่อเห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ก็พร้อมจะทรยศครอบครัวหรือคนรักได้ทันที พวกน่ารังเกียจเช่นนี้ส่วนใหญ่ข้ามักจะกำนัลเกาทัณฑ์ให้ไปหนึ่งดอก ’
‘ คนเราไม่อาจตัดสินจากท่าทีภายนอกได้ มีแต่ต้องรอให้ถึงคราวคับขันจริงๆเท่านั้น จึงจะยอมเปิดเผยธาตุแท้ออกมา ต่อให้คนผู้หนึ่งจะมีพรสรรค์เหนือล้ำขนาดไหน หากถึงเวลาต้องปกป้องสิ่งสำคัญกลับคิดยอมแพ้ไปง่ายๆ ก็ไม่คู่ควรให้ข้าต้องใส่ใจอีก ’
นี่เหมือนเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง ว่าจ้าวเทียนพร้อมที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออาจารย์ของตนแค่ไหน หรือคำพูดปรารถนาดีที่ผ่านมาจะเป็นเพียงแค่ลมปากที่แสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น
“ เจ้าคงคิดจะเปลี่ยนซากศพมารเป็นหุ่นเชิดแล้วแฝงตัวเข้าไปสินะ แต่มันก็คงไม่ได้ผลหรอก เพราะมีเพียงตัวตนระดับราชันมารหรือผู้สืบสายโลหิตเทพมารเท่านั้น ถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน